ขอแสดงความยินดีกับคณะผู้เกี่ยวข้องในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “เชคสเปียร์ต้องตาย” ที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ให้ยกเลิกคำสั่งห้ามฉายหนังดังกล่าวมานานถึง 11 ปี โดยอ้างว่าเป็นภาพยนตร์ที่กระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติ เพราะมีภาพอ้างอิงถึงเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองของไทยหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษา นายมานิต ศรีวานิชภูมิ นักกิจกรรมทางการเมือง และผู้อำนวยการสร้าง ได้โพสต์ข้อความระบุว่าเป็นจุดสำคัญของประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไทย ในที่สุด “เชคสเปียร์ต้องตาย” ก็เป็นอิสระ หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากบทละครแนวโศกนาฏกรรมเรื่อง “แม็คเบ็ธ” ของเชคสเปียร์มี สมานรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ เป็นผู้กำกับการแสดง เป็นเรื่องราวของนายพลผู้หิวอำนาจ มุ่งมั่นเข้าสู่อำนาจด้วยการฆ่า มีภาพที่สะท้อนถึงเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองในไทย เช่นการล้อมปราบที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 และเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 หนึ่งในโศกนาฏกรรมการเมืองไทยกลายเป็นโศกนาฏกรรมไม่รู้จบ หลังจากสร้างเสร็จและเตรียมนำออกฉายสู่สายตาประชาชน แผนกเซ็นเซอร์ของกระทรวงยุติธรรม ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีคำสั่งห้ามฉายหรือ “แบน” ด้วยเหตุผลข้างต้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเงินอุดหนุนจากนโยบายหาเสียงของรัฐบาล แต่ต้องรอนานถึง 11 ปีในที่สุดจึงกลายเป็นผู้ชนะ ได้สิทธิ์ที่จะฉายภาพยนตร์ได้ และได้เงินชดเชยค่าเสียหายด้วย แต่ไม่ทราบว่ามากน้อยแค่ไหน คำพิพากษาครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นชัยชนะของคณะผู้สร้างภาพยนตร์เท่านั้น แต่ต้องถือว่าเป็นชัยชนะเล็กๆของปวงชนชาวไทย ที่ได้สิทธิเสรีภาพบางส่วนกลับคืนเป็นสิทธิและเสรีภาพตามกฎหมายสูงสุดประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายสูงสุดของประเทศมาแล้ว 20 ฉบับ ทุกฉบับล้วนแต่ปกป้องสิทธิเสรีภาพประชาชน (ยกเว้นรัฐธรรมนูญเผด็จการ) ฉบับประชาธิปไตยทุกฉบับ ระบุว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย มีเสรีภาพในการแสดงออก หรือแสดงความเห็นเสรีภาพในการพูด การเขียน การโฆษณาแต่บ่อยครั้ง ประชาชนถูกปิดปาก ปิดหู หรือปิดตา แม้แต่ในปัจจุบัน ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ผ่านการลงประชามติ ของประชาชนทั่วประเทศ ผู้มีอำนาจก็ยังสามารถปิดปากประชาชนได้ การที่พรรคการเมืองจะเสนอนโยบายต่อประชาชน เพื่อแก้ปัญหาของประเทศ ก็ไม่อาจทำได้ ทางเดียวที่เหลืออยู่ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม