ก็เป็นไปตามคาด กนง. มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.50 โดย มีกรรมการ 2 เสียงที่เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ 0.25 กนง. มีกรรมการ 7 คน คงเดาได้ไม่ยาก กรรมการ 2 ท่านมีใครบ้างเหตุผลที่ กนง.เสียงส่วนใหญ่ให้คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.50 นั้น คุณปิติ ดิษยทัต เลขานุการ กนง. แถลงว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 มีแนวโน้ม “ขยายตัวชะลอลง” จาก “ภาคการส่งออก” และ “การผลิต” เนื่องจากอุปสงค์โลกและเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้า และผลกระทบจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง แต่การบริโภคยังขยายตัวดีต่อเนื่อง ขณะที่ อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว กรรมการส่วนใหญ่จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่กรรมการ 2 ท่าน เห็นว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ตํ่าลงแรงส่งทางเศรษฐกิจที่ลดลงในช่วงปลายปี 2566 (จากการส่งออกและการผลิตที่ฟื้นตัวช้า นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายต่อคนลดลง การลงทุนภาครัฐที่หายไปจากงบที่ล่าช้า) ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งปี 2567 ปรับลดลง คาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5-3 โดยมีการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ แต่มองไปข้างหน้า ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะด้านความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะเป็นอุปสรรคมากขึ้นหากไม่มีการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ (ซึ่งเป็น หน้าที่ของรัฐบาล ลดดอกเบี้ยก็ช่วยไม่ได้)ส่วนเรื่อง “เงินเฟ้อ” ที่รัฐบาลยกเป็นข้ออ้างให้ลดดอกเบี้ย กนง. เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อที่ตํ่าในปัจจุบัน ไม่ได้บ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอ เพราะราคาสินค้าไม่ได้ปรับลดลงในวงกว้าง แต่สะท้อนเฉพาะในบางกลุ่มสินค้า (ที่รัฐบาลเอาเงินภาษีไปอุ้ม) หากหักมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐออกไป อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังเป็นบวก (ไม่ใช่ติดลบ) ปี 2567 เงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงในระดับตํ่าที่ 1% ก่อนจะทยอยเพิ่มขึ้นในปีหน้าระบบการเงิน โดยรวมมีเสถียรภาพ การระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ยังดำเนินการได้ตามปกติ การกู้ยืมเงินผ่านธนาคารพาณิชย์และตลาดตราสารหนี้ก็ใกล้เคียงเดิม ภาคธุรกิจและครัวเรือนยังได้รับสินเชื่อใหม่ต่อเนื่อง ยอดคงค้างลดลงเล็กน้อยจากการชำระหนี้ก่อนกำหนดผู้ประกอบการในภาพรวมยังสามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ แม้รายได้จะฟื้นตัวช้า เพราะต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์ควรจะเข้าไปดูแล) ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็กบางอุตสาหกรรมสินเชื่อตึงตัว เพราะสถาบันการเงินระมัดระวังอีกประเด็นหนึ่งที่ผมเห็นว่าน่าสนใจ ไม่ใช่ความเห็น กนง. แต่เป็นมุมมองของ รศ.ดร.พรชนก คัมภีรยส คูเวนเบิร์ค อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์การเงินระหว่างประเทศ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬา เรื่อง “ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย” ว่า ความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯกับญี่ปุ่นที่ติดลบ ส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่ามาก หากสหรัฐฯหรือชาติตะวันตกลดดอกเบี้ย แต่เราไม่ลด ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายจะแคบลง แต่ถ้ารอบนี้เราลดดอกเบี้ยประเทศอื่นยังไม่ลด ส่วนต่างดอกเบี้ยนโยบายจะกว้างขึ้น เงินทุนจะไหลออกจากไทย เงินบาทก็จะอ่อนค่าไปอีกก็ได้ช่วงที่ผ่านมาหลายฝ่ายพูดเหมือน นโยบายการเงินเป็นยาวิเศษ ไม่ลดดอกเบี้ยจะทำให้ประเทศแย่ ไม่เห็นใจคนจน นโยบายการเงินกลายเป็นแพะรับบาปรศ.ดร.พรชนก กล่าวว่า จริงๆแล้วเราทุกคนรู้ว่า เศรษฐกิจไทยมีปัญหาเพราะปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ต้องพึ่งพิงนอกประเทศ ในประเทศก็มีปัญหาสังคมสูงวัย คุณภาพการศึกษา การเมือง ความไม่เท่าเทียม สารพัดอย่างที่แก้ไม่ได้ด้วยดอกเบี้ย ถ้าไม่แก้ที่ปัญหาอย่างจริงจัง เราจะเป็น “กบต้ม” เหมือนที่พูดกัน.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม