ถือกันเป็นธรรมเนียม เมื่อมีการทำบุญถวายอาหารแด่พระสงฆ์แล้ว ก็ต้องมีอาหารคาวหวานอย่างเดียวกันถวายที่หน้าพระพุทธรูปที่ตั้งเป็นประธานอยู่ในที่นั้นด้วยปากพูดว่าถวายข้าวพระพุทธ ใจคนถวายก็คิด พระพุทธท่าน “ฉัน” ไม่ได้นี่หว่า!“มีผู้สันนิษฐานกันไปต่างๆ” ส.พลายน้อย เริ่มต้นไว้ในสารานุกรมวัฒนธรรมไทย (สำนักพิมพ์พิมพ์คำ พ.ศ.2553) แล้วพรรณนาต่อบ้างก็ว่าในสมัยพระพุทธกาล เมื่อทายกทายิกาไปทำบุญ ก็มักนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเป็นประธาน การถวายอาหารสมัยนั้น บางทีก็ถวายแด่พระสงฆ์เป็นส่วนๆ บางทีก็ถวายรวมเพื่อให้พระไปแบ่งกันภายหลังแต่โดยมาก มักจะแบ่งถวายพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว บรรดาผู้เลื่อมใสศรัทธา เมื่อถึงคราวนิมนต์พระมาถวายอาหารบิณฑบาต ก็ยังคงจัดอาหารส่วนหนึ่งถวายพระพุทธที่ตั้งเป็นประธาน เหมือนครั้งยังทรงพระชนม์อยู่พระเทพกระวี (นิ่ม) วัดเครือวัลย์ พิเคราะห์คำถวายข้าวพระ และคำลาข้าวพระภาษามคธ ก็ดูรุ่งริ่งไม่เข้ากัน ถ้าจะคาดการณ์เอา เห็นจะเกิดขึ้นในประเทศเมืองลาวเพราะข้างเมืองลาวมีหิ้งบูชาเทวดาคาถาผีอยู่ทุกบ้านเรือน ฤาจะคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาแลผีทั้งปวง ควรจะบูชาบ้างก็บูชาด้วยอาหารแลกับแกงต่างๆแต่แผลงโวหารว่าเป็นถวายข้าวพระในหนังสือประเพณีไทย หม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงนิพนธ์เรื่องการถวายข้าวพระพุทธไว้ว่า“ของทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ เมื่อทำกันเคยๆกันจนลืมเหตุ ก็เลยหมดความเข้าใจ”ยกตัวอย่าง เช่น เวลามีงาน คุณผู้หญิงดูแลการครัวเลี้ยงดู คุณผู้ชายรับแขกอยู่ข้างหน้า ไม่มีเวลาจะทำอะไรได้ทุกอย่างจึงต้องมีผู้ปฏิบัติพระไว้คนหนึ่ง เป็นผู้ดูแลการพิธีครั้นงานเสร็จก็ถึงเวลารับแขกและกินเลี้ยง เมื่อพระกลับวัด ผู้ปฏิบัติพระกว่าจะเก็บของเรียบร้อย ก็อดข้าวเพราะเขาเลี้ยงกันหมดแล้วเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าของบ้านเขาจึงจัดไว้เป็นพิเศษสำรับหนึ่งต่างหาก เพื่อให้หมดกังวลถึงท่านผู้ปฏิบัติพระนั้นถ้าจัดสำรับวางไว้เฉยๆ ก็คงจะมีคนอื่นกินแทน เจ้าบ้านจึงถวายพระพุทธเสีย ให้ผู้ปฏิบัติพระได้เวลา “เสสัง มังคคลายามิ” คือลาข้าวพระ เอามากินเองด้วยเหตุผลนี้ เมื่อเขาจะจัดข้าวถวายพระพุทธ จึงต้องจัดให้มีอาหารและข้าวมากพอสำหรับคนคนหนึ่งจะกินอิ่มการจัดอาหารอย่างละนิดละหน่อย เหมือนที่มีการจัดไว้เซ่นผี ซึ่งก็จะกลายเป็นอาหารเซ่นพระพุทธเจ้าหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ทรงทักว่า พระพุทธเจ้าอยู่สูงส่งเกินกว่าที่จะเซ่นได้อ่านมาถึงตรงนี้ ก็รู้เหตุที่มีการถวายข้าวพระพุทธกันแล้ว...ถ้ารักอยากจะถวายต่อ ก็ทำไป ขอเพียงมีคนมาลาข้าวพระไปกินก็ไม่เสียหาย...แต่ถ้าแน่ใจว่า ไม่มีคนกินแล้ว ก็เลิกทำเสียเลยโกหกกันเองไปทำไม เสียทั้งของเสียทั้งเวลา.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม