ปัญหารายได้ไม่เพียงพอรายจ่าย “ก่อหนี้นอกระบบของคนรายได้น้อย” ที่ต้องเผชิญการถูกเอารัดเอาเปรียบทำสัญญากู้ยืมเงิน “อำพรางดอกเบี้ยอัตราสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด” จนไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ นำไปสู่การถูกทวงหนี้โหดอย่างไม่เป็นธรรมซึ่งเป็นปัญหากัดกร่อนสังคมไทยมาอย่างยาวนานจน “รัฐบาล” ตั้งโต๊ะแถลงแก้หนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมประกาศเดินหน้าชนผู้มีอิทธิพลสั่งห้ามคิดดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี นับเป็นเรื่องท้าทายความสามารถของรัฐบาลเศรษฐา1 ไม่น้อยนี้ รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่า ตามข้อมูล “คนไทยวัยทำงานไม่เกิน 35 ปี” มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ย 25,000-27,000 บาท/เดือน ขณะที่รายจ่ายแต่ละเดือนเกือบเท่ารายได้ “จนไม่มีเงินออม” เมื่อมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมกรณีฉุกเฉินก็ต้องก่อหนี้เพื่อเสริมสภาพคล่องนำมาสู่หนี้ครัวเรือนไทย เมื่อเทียบกับจีดีพีในไตรมาส 2 ยังทรงตัวอยู่ที่ 86.3% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสแรกแต่ลักษณะหนี้ครัวเรือนสูงกว่าร้อยละ 80 ของจีดีพี เป็นระดับต้องระวังอาจฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต และสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน หรืออาจลุกลามเป็นปัญหาสังคมแก้ยากขึ้นแล้วการที่ “หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีทรงตัว” แม้เป็นผลจากจีดีพีขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกับหนี้ครัวเรือนก็ตาม “แต่ยอดหนี้คงค้างยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง” ทำให้หนี้ครัวเรือนคงค้างอยู่ที่ระดับ 15.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1 แสนล้านบาทจากไตรมาสแรกมียอดหนี้ครัวเรือนคงค้างอยู่ที่ 15.19 ล้านล้านบาทถ้านำมาคำนวณจะพบว่า “หนี้เฉลี่ยรายบุคคลอยู่ที่ 2.3 แสนบาท” แล้วหนี้ครัวเรือนไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 5.4 แสนบาท เป็นหนี้ในระบบ 59-60% หนี้นอกระบบ 39-40% ทำให้ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ และอยู่อันดับ 12 ของโลก ขณะที่มีหนี้สาธารณะต้องร่วมรับผิดชอบเฉลี่ยคนละ 1.6 แสนบาทเช่นนี้ทำให้ “คนไทยมีภาระหนี้ครัวเรือนรวมหนี้สาธารณะ 4 แสน บาท/คน” ฉะนั้นการตั้งเป้าให้เศรษฐกิจขยายตัวเต็มศักยภาพ 5-6% เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อสร้างกลไกการกระจายรายได้มายังคนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึง รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจถ้าเจาะลงดู “สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ระดับ 86.3%” เป็นปัญหาผิดนัดชำระหนี้จากบริษัทก่อหนี้เกินตัว บวกหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ 62.14% (ข้อมูล ก.ย.2566) มูลค่าหนี้สาธารณะ 11.13 ล้านล้านบาท ดังนั้นหนี้ครัวเรือน หนี้เอกชน หนี้สาธารณะ อาจกดอัตราขยายเศรษฐกิจปีหน้าหากดอกเบี้ยในประเทศยังปรับตัวขึ้นประเด็น “หนี้นอกระบบ” ปัจจุบันครัวเรือนเป็นหนี้นอกระบบสูงกว่า 20% คิดเป็น 3.48 ล้านล้านบาท หรือเฉลี่ย 1 ใน 5 ยังกู้เงินนอกระบบเพราะไม่อาจเข้าถึงแหล่งเงินของประเทศได้ เพราะการดำเนินมาตรการ นโยบายการกำหนดเพดานดอกเบี้ยในระบบ ดูเหมือนจะเป็นความพยายามแก้ปัญหาความเดือดร้อนจากภาวะดอกเบี้ยลอยตัวแต่ความจริง “สร้างปัญหาให้ประชาชนเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ” เพราะสถาบันการเงินในระบบไม่ยอมปล่อยกู้ให้ผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง “ด้วยดอกเบี้ยเพดานตามทางการกำหนด” ดังนั้นการแก้ปัญหาคิดดอกเบี้ยสูงของสถาบันการเงินในระบบต้องเปิดเสรีแข่งขัน “ไม่ใช่กำหนดเพดาน” เพื่อให้ดอกเบี้ยไม่สะท้อนความเสี่ยงของผู้กู้ฉะนั้นการกำหนดเพดานดอกเบี้ยในระบบ “ชาวบ้านไม่มีทรัพย์สิน หรือไม่มีรายได้” มักเข้าขอใช้บริการทางการเงินไม่ได้ กลายเป็นผลักหนี้นอกระบบเพิ่มโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่ทุกวันนี้สาเหตุมาจาก “อุตสาหกรรมโครงสร้างการเงินและการธนาคาร” เป็นธุรกิจขนาดใหญ่กึ่งผูกขาดมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันนี้ “เริ่มเปิดเสรีการแข่งขันสูงขึ้น” ทำให้แหล่งเงินมีทั้ง Non-Bank และธุรกิจโทรคมนาคมหันมาให้บริการปล่อยสินเชื่อด้วย ส่งผลให้สถานบันการเงินถูกแบ่งทางการตลาดลดอำนาจการผูกขาดลงเรื่อยๆ ยิ่งถ้าเปิดเสรีการแข่งขันธุรกิจสินเชื่อไปเรื่อยๆ “ดอกเบี้ยเงินกู้ก็จะลดลงโดยอัตโนมัติ” แล้วยิ่งตอนนี้ยังปรากฏพบว่า “มีกลุ่มทุนปล่อยเงินกู้ผ่านระบบออนไลน์ที่เรียกว่า Peer to peer lending (P2P Lending)” อันเป็นการกู้เงินบุคคลต่อบุคคลโดยไม่ผ่านตัวกลาง และกำลังได้รับความนิยมมากในบ้านเราหลายๆแพลตฟอร์มแล้วการกู้เงินรูปแบบ P2P Lending ยังต่างจากการเงินกู้นอกระบบ เพราะข้อมูลมักจะถูกบันทึกในระบบอิเล็กทรอนิกส์สามารถควบคุมการทำธุรกรรมทางการเงินได้ ในอนาคตธุรกิจสินเชื่อนี้อาจจะไร้พรมแดนเลยก็ได้จริงๆแล้ว “หนี้นอกระบบ” เป็นปัญหาไม่อาจปราบปรามเจ้าหนี้รายย่อยได้ เพราะมีต้นทุนในการไล่จับสูง แต่ควรเน้น “จับปลาตัวใหญ่” มักมีข่าวลือว่าข้าราชการบางคน นักการเมืองบางกลุ่มอยู่เบื้องหลังธุรกิจสีเทานี้ข้อมูลเชิงลึกนั้นเชื่อว่า “ตำรวจ” มีรายละเอียดตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว เพียงแต่จะดำเนินการปราบปรามจับกุมกันจริงจังหรือไม่...? เรื่องนี้คงต้องฝากให้สังคมคอยเฝ้าติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป โดยเฉพาะนโยบายพิโกไฟแนนซ์ที่นับเป็นโครงการที่ดี เนื่องจากนำเจ้าหนี้นอกระบบมาขึ้นทะเบียนทำธุรกิจสินเชื่อให้ถูกต้องนับเป็นโครงการน่าสนับสนุนในการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ และให้คนเข้าถึงแหล่งเงินในระบบง่าย ตอกย้ำ “นโยบายพักหนี้สิ้น” ที่ทำกันมาเกือบทุกรัฐบาลก็เป็นเพียงบรรเทาปัญหาวิกฤติหนี้สินครัวเรือน “มิได้แก้รากฐานการเป็นหนี้” ยิ่งกว่านั้นหากทำกันไม่รัดกุมและใช้มาตรการนี้บ่อยๆ “ย่อมก่อเกิดจริยวิบัติในระบบการเงินมากขึ้น” กลายเป็นการสะสมความเสี่ยงการเกิดวิกฤติระบบสถาบันการเงินในอนาคตเมื่อเป็นแบบนี้ “มาตรการแก้ไขหนี้สิน” จำเป็นต้องกระจายรายได้ และกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เป็นธรรม “สร้างโอกาสการทำงานด้วยรายได้สูงให้กับประชาชน” ด้วยธุรกิจอุตสาหกรรมต้องสามารถเพิ่มมูลค่าด้วยความรู้และนวัตกรรม แปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีราคาและมูลค่าสูงขึ้น“การปรับลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายของสถาบันการเงิน ผ่อนกฎเกณฑ์ตั้งสำรองหนี้เสียหรือหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ธนาคาร ลดหย่อนภาษีการขาย โอนทรัพย์สินไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินอาจมีความจำเป็นระยะต่อไป หากปัญหาไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อและปัญหาหนี้สินไม่มีแนวโน้มดีขึ้น” รศ.ดร.อนุสรณ์ ว่าต่อมาโครงสร้างทางการเงิน “กิจการและธุรกิจอุตสาหกรรม” บางส่วนเผชิญความอ่อนแอซ้ำเติมจากโควิด-19 “บริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นมีหนี้สินเพิ่ม 4 ล้านล้านบาทช่วงนั้น” ไม่ว่าจะเป็นกิจการท่องเที่ยว สายการบิน การขนส่ง ค้าปลีก ร้านอาหาร ต้องเพิ่มทุนขายทรัพย์สินเสริมสภาพคล่อง และชำระหนี้ในช่วงโควิดแม้นภาพรวมเศรษฐกิจขยายเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน “แต่กิจการไม่น้อยยังไม่พ้นการเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว และขาดสภาพคล่อง” สัดส่วนหนี้สินต่อทุนบริษัทจดทะเบียนปี 2563 อยู่ที่ 2.83 เท่า เมื่อเทียบกับ 2.57 เท่าในปี 2561 หนี้สินรวมของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 29.28 ล้านล้านบาท สูงกว่าจีดีพีประเทศเกือบ 2 เท่า ล่าสุด ปี 2566 สัดส่วนหนี้สินต่อทุนและหนี้สินรวมบริษัทจดทะเบียนยังเพิ่มขึ้น “หลายกิจการเจอปัญหาจำหน่ายหุ้นกู้ใหม่ทดแทนหุ้นกู้เดิม” มีความเสี่ยง Debt Rollover เพิ่มขึ้น สัดส่วนหนี้สินต่อทุนน่าจะทะลุ 3 เท่า แต่ว่าผลประกอบการไตรมาส 4 จนถึงไตรมาสแรกปีหน้าบริษัทจดทะเบียนน่าจะมีผลกำไรสุทธิกระเตื้องขึ้นทว่าเศรษฐกิจปีนี้ “น่าจะขยายไม่ถึง 3% คงอยู่ที่ 2.5-2.6%” เพิ่มความเสี่ยงฐานะการเงินของภาครัฐและภาคเอกชนในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น “ธุรกิจสื่อเดิมและธุรกิจการท่องเที่ยว” ยังมีปัญหาชำระหนี้แถมฐานะการคลังประเทศก็อ่อนแอลงเล็กน้อยจากการก่อหนี้นำมาแจกเงินดิจิทัล ส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีในปีหน้าทะลุ 64%สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีพุ่งทะลุ 91% สูงที่สุดในรอบ 18 ปี อันเป็นผลพ่วงมาจากการล็อกดาวน์ไร้ประสิทธิภาพและประสิทธิผล รายได้หดตัวว่างงาน “หนี้ครัวเรือน” ส่วนใหญ่เป็นหนี้ผ่อนชำระที่อยู่อาศัยมากกว่า 34% ฉะนั้นการมีนโยบายสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ประชาชนมีบ้านเป็นของตัวเองมีความจำเป็นอยู่ไม่ใช่น้อยนี่คือสถานการณ์ “ครัวเรือนไทย” ยังมีฐานะการเงินเปราะบางจาก “รายได้เพิ่มเล็กน้อย” เมื่อเทียบกับรายจ่ายจำเป็นต้อง “ก่อหนี้” เพื่อเสริมสภาพคล่องการทำกำไรของธุรกิจ ดังนั้น “รัฐบาล” มีหน้าที่ทำให้ภาคประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายๆ สุดท้ายหนี้นอกระบบก็จะหายไปเอง...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม