ตั้งแต่เกิดสถานการณ์สู้รบระหว่างกองทัพอิสราเอล (IDF) กับกองกำลังติดอาวุธปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาตั้งแต่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินมหาศาล ทำให้มีหลายชาติออกมาเรียกร้องให้ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสทำการ “หยุดยิง (Ceasefire หรือบางครั้งก็ใช้คำว่า Truce)” ขณะเดียวกันก็มีบางส่วนเรียกร้องการ “หยุดโจมตีเพื่อมนุษยธรรม (Humanitarian Pause)”แม้นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่มีการหยุดยิงในฉนวนกาซา แต่ก็มี “การหยุดโจมตีเพื่อเปิดช่องทางมนุษยธรรม” อย่างถนนซาลาห์ อัลดิน เส้นทางหลักที่ลากตัดผ่านกลางฉนวนกาซาให้พลเรือนปาเลสไตน์อพยพออกจากทางเหนือไปทางใต้เพื่อความปลอดภัยต่อมา ครม.อิสราเอลมีมติเห็นชอบข้อตกลง “หยุดยิง” เป็นการ “ชั่วคราว” ในฉนวนกาซา เป็นเวลา 4 วัน รวมทั้งแลกเปลี่ยนตัวประกันกับกลุ่มฮามาสโดยเริ่มตั้งแต่ 24 พ.ย. กระนั้น การหยุดยิงก็มีเงื่อนไขคือ กองทัพหยุดปฏิบัติการในภาคใต้ของฉนวนกาซา แต่ทางภาคเหนือยังโจมตีต่อ และจะพักรบเพียง 6 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น รวมถึงอนุญาตให้รถบรรทุกความช่วยเหลือข้ามจุดผ่านพรมแดนราฟาห์ ชายแดนอียิปต์ เข้าสู่ทางใต้ของฉนวนกาซา แต่อิสราเอลยังย้ำว่า แม้มีการพักรบแต่สงครามยังไม่จบ คำถามที่ตามมาคือ “การหยุดยิง” และ “การหยุดโจมตีเพื่อมนุษยธรรม” แตกต่างกันอย่างไรหากอ้างอิงตามพจนานุกรมเคมบริดจ์ คำว่า “Ceasefire” หมายถึง ข้อตกลงในการหยุดสู้รบระหว่าง 2 ฝ่าย หรือเข้าใจง่ายๆ ก็คือ หยุดการโจมตี เพื่อให้มีการเริ่มต้นเจรจาหาข้อตกลง แต่ผลการเจรจาก็อาจจบลงด้วยสันติภาพ หรือไม่ก็ตีกันต่อไป ส่วนคำว่า “Pause” คือการหยุดในช่วงเวลาสั้นๆ และกลับมาเริ่มใหม่ เมื่อนำมารวมกับคำว่า “Humanitarian” หรือมนุษยธรรม ในบริบทของการสู้รบ ก็อาจหมายถึง การหยุดโจมตีหรือพักรบเพื่อมนุษยธรรมอันที่จริง คำเหล่านี้ไม่ได้มีนิยามที่แน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับว่าการเจรจาสงบศึกอยู่ภายใต้เงื่อนไขใด เช่น การหยุดโจมตีทั่วพื้นที่ความขัดแย้ง หรือยุติการสู้รบชั่วคราวในบางบริเวณ เพื่อส่งความช่วยเหลือไปพื้นที่ที่กำหนด แล้วเรียกว่าเป็นช่องทางมนุษยธรรม โดยการสู้รบยังมีอย่างต่อเนื่องและอาจทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อสิ้นสุดข้อตกลง แต่การยอมสงบศึกเป็นเวลานานคงเป็นไปได้ยาก เพราะต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ เหมือนที่อิสราเอลอยากทำลายฮามาสให้สิ้น ฝ่ายฮามาสก็พร้อมปะทะกับอิสราเอลตลอดเวลา แต่ไม่ว่าจะสรรหาคำใดมานิยาม จะด้วยเหตุผลด้านการเมืองหรือมนุษยธรรม ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรุนแรงและการสูญเสียไม่ได้เลือนหายไป.ญาทิตา เอราวรรณคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม