พืชตระกูลกะหล่ำ เป็นพืชผักที่สำคัญทางเศรษฐกิจอีกชนิด มีพื้นที่ปลูกทั่วประเทศประมาณ 69,108 ไร่ ให้ผลผลิตรวม 248,440 ตัน มีแหล่งผลิตใหญ่อยู่ที่ อ.หล่มเก่า และ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ พื้นที่ปลูก 19,256 ไร่ ให้ผลผลิตประมาณ 1.5 แสนตัน คิดเป็นร้อยละ 60 ของผลผลิตทั้งประเทศ เนื่องจากมีอากาศหนาวเย็นเหมาะสมกับการเจริญเติบโตแต่อย่างไรก็ตาม การปลูกพืชตระกูลกะหล่ำ มีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีปริมาณมาก ส่งผลให้เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้นและหากมีสารตกค้างจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อีกทั้งยังเกิดการปนเปื้อนสู่สภาพแวดล้อมอีกด้วย ศูนย์วิจัยเกษตรที่สูงเพชรบูรณ์ กรมวิชาการเกษตร จึงได้ดำเนินงานวิจัยการลดการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชในการผลิตกะหล่ำปลีโดยใช้วิธีผสม ผสานในโรงเรือน และสภาพ แปลง เพื่อศึกษาวิธีการลดการใช้สารเคมีในพืชตระกูลกะหล่ำ โดยการใช้สารไคโตซานกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ส่งผลให้พืชแข็งแรงต่อการเข้าทำลายของโรคและแมลงได้มากขึ้น รวมถึงการใช้ชีวภัณฑ์ของกรมวิชาการเกษตร ได้แก่ ไส้เดือนฝอยกำจัดแมลงสายพันธุ์ไทย ซึ่งมีศักยภาพในการควบคุมแมลงได้หลายชนิด พบว่าการลดการใช้สารเคมีในการปลูกกะหล่ำปลี ตามเทคโนโลยีกรมวิชาการเกษตรทั้งในโรงเรือนและสภาพแปลงปลูกของเกษตรกร โดยใช้สารไคโตซานอัตรา 200 ppm/น้ำ 20 ลิตร เชื้อชีวภัณฑ์ BT 80-100 อัตรา 80-100 กรัม/น้ำ 20 ลิตร และใช้กับดักกาวดักแมลง ขนาด 15×20 ซม. จำนวน 200 ป้าย/1 ไร่ เป็นวิธีการที่เหมาะสมสำหรับการลดการใช้สารเคมีในการผลิตกะหล่ำปลีในโรงเรือนและสภาพแปลง เมื่อนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาทำการทดสอบในแปลงเกษตรกร 10 แปลง เพื่อเปรียบเทียบวิธีที่เกษตรกรใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชกับเทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรโดยเปรียบเทียบการผลิตกะหล่ำปลีในพื้นที่ 0.5 ไร่...การใช้เทคโนโลยีของกรมวิชาการเกษตรมีต้นทุน 6,900 บาท ทำให้เกษตรกรมีรายได้ 23,400 บาท ในขณะที่กรรมวิธีของเกษตรกรมีต้นทุน 8,900 บาท รายได้ 21,250 บาท.ชาติชาย ศิริพัฒน์คลิกอ่านข่าวเกษตรเพิ่มเติม