นับวันแนวโน้มเหตุการณ์ “วัยรุ่น ยกพวกบุกทำร้ายกันในโรงพยาบาล” จะเริ่มเกิดบ่อยมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อ “บุคลากรทางการแพทย์” ต่างมีความรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในการทำงานสร้างความวิตกให้แพทย์–พยาบาลท้อแท้ลาออกจากงานเพิ่มสูงเรื่อยๆกระทั่งทำให้ “รพ.รัฐ ขาดแคลนแพทย์ในพื้นที่ชนบท” แต่กลายเป็นว่าเรื่องนี้กลับหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันเพียงในวงเล็กๆ “ไม่ถูกนำไปแก้ปัญหาจริงจัง” ส่งผลให้ในโรงพยาบาลยังคงเกิดความรุนแรงซ้ำซากปัญหานี้จึงไม่ใช่เฉพาะบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมที่ต้องเหลียวหลังมาดู และคิดหาทางออกร่วมกัน นำมาสู่งานวิจัยความรุนแรงในสถานพยาบาลต่อบุคลากรทางการแพทย์ และข้อเสนอทางมาตรการกฎหมายเพื่อลดความรุนแรงผศ.พญ.จรินรัตน์ สิริรัฐวรรณ หน.หน่วยผ่าตัดประสาทหูเทียม รพ.ศูนย์การเเพทย์สมเด็จพระเทพฯ ในฐานะนักศึกษา ปธพ.10 สถาบันพระปกเกล้า หน.ทีมงานวิจัยฯ ให้ข้อมูลว่าความรุนแรงในสถานพยาบาลมีตั้งแต่ผู้ป่วยทะเลาะกันเอง บุคคลภายนอกเข้ามาทะเลาะกับผู้ป่วย หรือผู้ป่วยทะเลาะกับบุคลากรทางการแพทย์ตามข้อมูลตั้งแต่ปี 2555-2562 มีเหตุความรุนแรงในสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 62 เหตุการณ์ คือ การทะเลาะวิวาท 29 เหตุการณ์ การทำร้ายบุคลากรทางการแพทย์ 22 เหตุการณ์ กระโดดตึก 6 เหตุการณ์ การทำลายทรัพย์สินของโรงพยาบาล 4 เหตุการณ์ และอื่นๆ 3 เหตุการณ์ ทำให้ประชาชนบาดเจ็บ 58 ราย เสียชีวิต 9 ราย บุคลากรทางการแพทย์บาดเจ็บ 15 ราย เสียชีวิต 3 ราย แต่ช่วงปี 2563-2564 ความรุนแรงลดลงเพราะโควิดระบาดกระทั่งปี 2565-2566 มีความรุนแรงสูงขึ้น 67 เหตุการณ์สำหรับการก่อเหตุ 18.57% เป็นความรุนแรงทางวาจา “ในห้องฉุกเฉิน” สาเหตุมาจากผู้ใช้บริการมากเกินไปจนเกิดความแออัด รองลงมาเป็นห้องผู้ป่วยในทั้งห้องจิตเวช ศัลยกรรม ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นนักการเมือง 13% ผู้ให้บริการ 82% และผู้ใช้บริการ 3% ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุค่อนข้างต่ำเพราะที่ผ่านมามัก “ใช้ปิยวาจาพูดคุยกัน” ทำให้ไม่เกรงกลัวต่อกฎระเบียบเกิดการก่อเหตุมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลกระทบต่อจิตใจบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งที่โรงพยาบาลต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยแม้สงครามตามหลักสิทธิมนุษยชนก็มีกฎห้ามโจมตีรถพยาบาล ดังนั้นโรงพยาบาลควรต้องมีมาตรการป้องกันการก่อความรุนแรงขั้นสูงสุดสาเหตุปัญหามีอยู่ว่า “ประชาชนไม่เคารพยำเกรงต่อสถานพยาบาล” เพราะมองเป็นสถานที่สาธารณะมากกว่าหน่วยงานราชการ “สามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย” ด้วยงานวิจัยจะสามารถสังเกตได้จากกรณี “รพ.ตำรวจ หรือ รพ.ในเครือทหาร” ที่มีการเปิดเสรีให้บริการ ประชาชนทั่วไปเช่นกันปรากฏว่า “ไม่เคยมีเหตุทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาล” เพราะด้วยประชาชนเกรงกลัวต่อสถานที่อย่างกรณี “รพ.ในเครือทหาร” มักจะมีสารวัตร ทหารแต่งชุดเครื่องแบบเดินดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.“สมัยก่อนโรงพยาบาลเป็นสถานที่ช่วยเหลือรักษาชีวิตคนป่วยส่งผลให้แพทย์ และพยาบาลเป็นที่เคารพนับถือไม่มีใครกล้ามาก่อเหตุความรุนแรง แต่ปัจจุบันบุคลากรทางการแพทย์กำลังถูกมองเป็นเพียงผู้ให้บริการทำให้ไม่เกรงใจเหมือนอดีต ทั้งที่คนเหล่านี้ต้องการช่วยเหลือสังคมจนไม่ยอมย้ายไป รพ.เอกชน” ผศ.พญ.จรินรัตน์ว่า ทว่าปัญหาความรุนแรงในโรงพยาบาลนี้กำลังตอกย้ำให้ “แพทย์ และพยาบาล” ต้องทนอยู่กับระบบที่ไม่ปลอดภัยไม่ไหวต่างทยอยลาออก “เคลื่อนย้ายไปสู่ รพ.เอกชน” เพราะแน่นอนว่ามีระบบการดูแลความปลอดภัยดีกว่าอยู่แล้ว ทั้งยังมีรายได้สูงจูงใจดึงบุคลากรออกจาก รพ.ของรัฐ ไปกันเป็นจำนวนมากอีกด้วยกลายเป็นว่า “หน่วยงานรัฐ” ต้องสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถทำให้คนที่เหลือต้องรับภาระหนักเพิ่มขึ้น และกระทบต่อการบริการให้แก่ผู้มีรายได้น้อยตามมาอยู่ทุกวันนี้แต่ก็ใช่ว่า “รพ.เอกชนไม่มีความรุนแรง” แต่มักเป็นความรุนแรงทำนองทางวาจา เช่น การใช้น้ำเสียงตะคอก ตะโกน ข่มขู่ ใช้ภาษาหยาบคายในการสนทนา หรือการใช้กิริยามารยาทไม่เหมาะสมต่อบุคลากรทางการแพทย์ แล้วส่วนใหญ่ก็จะถูกปล่อยผ่านไม่ดำเนินการอะไรเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นลูกค้ามาใช้บริการประจำ เมื่อเป็นเช่นนี้ “การป้องกันความรุนแรงในโรงพยาบาล” ย่อมทำให้บุคลากรทางการแพทย์ได้รับความปลอดภัยแต่ด้วยที่ผ่านมา “หน่วยงานต้นสังกัด” มักออกมาพูดแล้วปล่อยผ่านจนกลายเป็นการขาดการวิเคราะห์ของต้นเหตุที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความแออัดในการเข้ารับบริการรักษาพยาบาล หรือการรอคอยคิวการตรวจนานสิ่งนี้ล้วนเป็นปัจจัย “ไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ส่งผลให้เกิดข้อร้องเรียนจาก ผู้รับบริการไม่พึงพอใจ “เป็นสาเหตุการทำร้ายบุคลากรทั้งด้านร่างกาย และวาจา” ดังนั้นอาจต้องปรับใช้การสื่อสารบนหน้าจอทีวี “แจ้งเตือนลำดับคิวเป็นระยะ” เพื่อไม่ให้เป็นการทอดทิ้งให้ผู้ป่วย และญาติรอคอยนานทั้งยังต้องจัดการความแออัด “ด้วยการนำเทคโนโลยี หรือแอปพลิเคชันต่างๆ” เข้ามาช่วยระบบการจองคิว รวมถึงเสริมทักษะในการสื่อสารจากการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการป้องกัน และจัดการความรุนแรงในโรงพยาบาลประจำปี เพื่อให้มีความพร้อมในการแก้ไขปัญหาเมื่อเจอเหตุการณ์ความไม่พึงพอใจเน้นพัฒนาแนวทางปฏิบัติจัดการความรุนแรงอันจะเกิดกับบุคลากร หรือผู้รับบริการ ในลักษณะการใช้คำพูด การกระทำ โดยเฉพาะการทำร้ายร่างกาย และสิ่งของอุปกรณ์ทางการแพทย์ถัดมาคือ “การจัดการสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อความปลอดภัย” ปัจจุบันแผนกผู้ป่วยฉุกเฉินมักเป็นพื้นที่เปิดกลายเป็นช่องโหว่ให้สามารถพกอาวุธเข้ามาได้โดยง่าย ดังนั้น รพ.รัฐต้องมีมาตรการกำหนดพื้นที่เขตปลอดอาวุธในโรงพยาบาล ทั้งปรับโครงสร้างติดกล้องวงจรปิด กำหนดบัตรผ่านประตูเฉพาะเจ้าหน้าที่ ติดไฟในที่ล่อแหลมปรับพื้นให้ปลอดภัยทุกจุดด้วยการออกระเบียบประกาศกระทรวงว่าด้วย “สถานพยาบาลเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้บริการรักษาผู้ป่วย” พร้อมขับเคลื่อนรณรงค์ผ่านสื่อมวลชน และบังคับใช้กฎหมายจริงจังเร่งการพิจารณาคดีให้รวดเร็ว และกำหนดบทลงโทษ รวมถึงค่าปรับแก่บุคคลก่อความรุนแรงสูงขึ้น 3-4 เท่า นอกจากนี้ “โรงพยาบาลทุกแห่ง” ต้องมีระบบฉุกเฉินเชื่อมต่อโรงพักโดยตรง “เพื่อประสานตำรวจเข้าระงับเหตุได้ทันท่วงที” เพื่อสร้างความอุ่นใจให้ผู้ปฏิบัติงาน และประชาชนที่มาทำการรักษาว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรง หรือถ้าเกิดขึ้นจริงก็มีมาตรการแผนรองรับกันเป็นอย่างดีตอกย้ำว่า “โรงพยาบาลต้องดำเนินคดี” ที่ผ่านมามักใช้หลักความเมตตาในการยอมความ หรือบางกรณีก็ส่งผู้ใหญ่มาพูดคุยแล้วจบกันไปอย่างเช่นเคยมี “คนไข้ชกหมอออกใบรับรองนำไปเคลมประกันไม่ได้” ในเรื่องนี้ต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด แต่สุดท้ายมีผู้ใหญ่มาพูดคุยให้ยอมความกลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบถูกผลิตซ้ำแนะนำให้ยกระดับความรุนแรงใน รพ.เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อร่วมแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบถ้าเทียบกับ “ต่างประเทศ” ที่ให้ความสำคัญเข้มงวดในเรื่องนี้อย่างมาก เช่น โรงพยาบาลสหรัฐฯ และอังกฤษ รปภ.สามารถใช้อาวุธระงับเหตุได้ทันทีแล้วดำเนินคดีอาญาทุกกรณี “อินเดีย” ได้ออกกฎหมายเพิ่มโทษปรับ 5 หมื่นรูปีถึง 2 ล้านรูปี และในหลายประเทศยังเก็บสถิติอย่างเป็นระบบใช้เป็นข้อมูลวิเคราะห์แนวทางการป้องกันฉะนั้น ความรุนแรงในโรงพยาบาลไม่สามารถจัดการโดยหน่วยงานสาธารณสุขเพียงลำพังได้ เพราะปัญหาสังคมที่ต้องจัดการโดยสังคม “ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ” ในการดึงคนนอกเข้ามามีส่วนแก้ไขตั้งแต่เรื่องบุคลากร กฎหมาย และสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาระบบสุขภาพให้เทียบเท่านานาประเทศ.คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม