คดีอื้อฉาวในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2016 น่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนให้คนทั้งโลกตระหนักถึงภัยร้ายที่มาพร้อมกับโซเชียลมีเดียที่ผู้คนมหาศาลกำลังบ้าคลั่งThe Great Hack ภาพยนตร์สารคดีใน Netflix กำกับโดย คาริม อาเมอร์ และจีฮาน โนเจม ตีแผ่เรื่องเลวร้ายของการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลบนเฟซบุ๊ก เป็นอาวุธในการต่อสู้ทางการเมือง โดยเฉพาะการชนะการเลือกตั้งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2016เดวิด แคร์โรล รองศาสตราจารย์ผู้สอนวิชาดิจิทัลมิเดียและการพัฒนาแอปพลิเคชัน คือคนสำคัญที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวในหลุมดำของโลกดิจิทัล ด้วยการเปิดโปงบริษัทวิจัยข้อมูลเพื่อการเลือกตั้งอย่าง Cambridge Analy tica หลังจากที่พบว่า บริษัทดังกล่าวดึงข้อมูลส่วนตัวจากบัญชีผู้ใช้ Facebook จำนวน 87 ล้านบัญชีมาใช้เพื่อวิเคราะห์และสร้างประโยชน์ทางการเมืองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้ ด้วยการสร้างเนื้อหาบางอย่างเพื่อกระตุ้นให้คนบางกลุ่มเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ตนต้องการ โดยคนกลุ่มนั้นเองไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ และในเรื่องนี้ยังมีข้อมูลด้วยว่า Cambridge Analytica เกี่ยวพันกับการถอนตัวของประเทศอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อีกด้วย“เคมบริดจ์ อะนาลิติกา ไม่ได้เป็นเพียงบริษัทวิทยาการข้อมูล หรือบริษัทอัลกอริทึมอะไรเเบบนั้น มันเป็นการให้บริการกลไกโฆษณาชวนเชื่อเต็มรูปแบบ” คริสโตเฟอร์ ไวลี อดีตพนักงานของ Cambridge Analytica บอกพร้อมกับให้ข้อมูลด้วยว่า ฐานคิดของ Cambridge Analytica ส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก บก.เว็บไซต์ข่าวไบรต์บาร์ตที่ว่า“ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงรากฐานของสังคม อย่างแรกที่ต้องทำคือการทำลายมันเสียก่อน และเมื่อทำลายมันได้แล้ว คุณถึงจะค่อยๆสร้างสังคมใหม่ในทัศนคติของคุณขึ้นมาได้”ฟังถึงตอนนี้หลายคนอาจจะเริ่มคุ้นๆกับปฏิกิริยาทางสังคมบางอย่างที่เกิดขึ้นก่อนและระหว่างการเลือกตั้งในบ้านเราแล้วใช่มั้ย มาฟังกันต่อเลยดีกว่า...การทำงานของ Cambridge Analytica เริ่มจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆที่พวกเขาจะสามารถหาได้ โดย เฉพาะจากสื่อสังคมออนไลน์ที่สามารถให้ได้ทั้งข้อมูลส่วนตัว เช่น ชื่อ ที่อยู่ พฤติกรรมการเสพข่าวสารเพื่อนำมาวิเคราะห์พฤติ กรรม และสร้างแนวทางการประชาสัม พันธ์ รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของกลุ่มเป้า หมายนั้น ตัว อย่างที่เห็นได้ชัดและเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือ การหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ Cambridge Analytica เริ่มต้นจากการสร้างแอปพลิเคชันบนเฟซบุ๊กเพื่อทำการรวบรวมข้อมูลต่างๆของผู้ใช้ โดยที่เนื้อหาในแอปพลิเคชันนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แค่ “แบบทดสอบบุคลิกภาพ” ง่ายๆเพื่อที่จะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งในแบบสอบถามนั้นดูเหมือนจะไม่มีอะไรผิดแปลก แต่ภายใต้เงื่อนไขก่อนจะเริ่มทำแบบสอบถามนั้น ได้ระบุเพื่อขอเข้าถึงข้อมูลต่างๆของเรา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทั่วไป, ข้อมูลโพสต์, ข้อมูลไลค์, ข้อมูลเพื่อน และการเข้าถึงข้อมูลทั่วไปของเพื่อนเรา เพื่อใช้ในการสร้างโปรไฟล์เชิงจิตวิทยาของผู้มีสิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ได้โปรไฟล์มาแล้ว Cambridge Analytica จะทำการแบ่งกลุ่มเพื่อดูว่ากลุ่มแบบไหนที่ตรงกับเป้าหมายที่พวกเขาต้องการ ในที่นี้คือกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะโหวตให้ฝั่งไหน ซึ่งพวกเขาเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า กลุ่มคนที่โน้มน้าวได้ (Persuadable) โดยทีมงานจะทำการสร้างเนื้อหาพิเศษให้กับคนกลุ่มนี้ เผยแพร่ไปในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบบล็อก เว็บไซต์ บทความ วิดีโอ โฆษณา และทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเนื้อหามีทั้งแบบให้ข้อมูลด้านดีชวนเชื่อของพรรคที่พวกเขาทำงานให้ แต่ที่รุนแรงที่สุดคือเนื้อหาที่เป็นข่าวปลอม (Fake News) โจมตีพรรคฝั่งตรงข้าม เนื้อหาเหล่านี้จะถูกส่งและแสดงให้แก่กลุ่มเป้าหมายเพื่อให้เห็น รับรู้ และเชื่อในแบบที่ Cambridge Analytica อยากจะให้เป็น จนคนกลุ่มนั้นประพฤติไปในทางที่พวกเขาต้องการ ซึ่งชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็มาจากการส่งเนื้อหาที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันให้กลุ่มคนนี้ และชักจูงให้เลือกลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์ในที่สุดนั่นเอง และนั่นจึงเป็นที่มาของข่าวฉาวและการแฉอเล็กซานเดอร์ นิกซ์ (Alexander Nix) ซีอีโอ Cambridge Analytica ของสถานีโทรทัศน์อังกฤษ โดยต่อมาเดอะการ์เดียนของอังกฤษ รายงานการออกมายอมรับของ Cambridge Analytica ว่า มีส่วนทำให้โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้นำสหรัฐฯในปี 2016 ได้สำเร็จ และต่อมายังถูกเชื่อมโยงว่าบริษัทนี้อาจเกี่ยวข้องกับกรณีแคมเปญโหวตสนับสนุนให้สหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป หรือ “เบร็กซิต” ของกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองขวาจัดไปจนถึงการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นล็อบบี้ยิสต์และปรากฏการณ์ทางการเมืองในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยหลังเรื่องอื้อฉาวถูกเปิดโปง เคมบริดจ์ อะนาลิติกา ปิดบริษัทและ “เฟซบุ๊ก” ต้องยอมจ่ายค่าปรับ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1.5 แสนล้านบาท เพื่อไกล่เกลี่ยคดีละเมิดความเป็นส่วนตัวผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ใครที่สงสัยเรื่องของชัยชนะที่คาดไม่ถึง หรือกระบวนการใช้โซเชียลมีเดียในการโน้มน้าว ชักนำทางการเมืองได้อย่างไร แนะนำให้ไปดูหนังเรื่องนี้ เพื่อเรียนรู้วิธีการสื่อสารการตลาดทางการเมือง และปฏิบัติ การจิตวิทยาเพื่อเข้าถึงพฤติกรรมของผู้คนระดับเข้มข้นในสีเทาของการเมือง ผ่านการทำแคมเปญที่ดุเดือดบนโซเชียลมีเดียหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณได้รู้จักผู้อยู่เบื้องหลังแคมเปญสีเทาอย่าง บริตทานี ไคเซอร์ อดีตผู้อำนวยการ Cambridge Analytica ที่บอกว่า“ทรัพยากรจำนวนมากของเราพุ่งเป้าไปที่คนที่ถูกโน้มน้าวได้...พวกเราถล่มเนื้อหาเหล่านี้ใส่พวกเขาผ่านบล็อก เว็บไซต์ วิดีโอ โฆษณาทุกแพลตฟอร์มที่คุณพอจะนึกออก จนกว่าพวกเขาจะเห็นโลกในแบบที่พวกเราอยากให้เห็น”ไม่ได้สปอยล์ แต่อยากให้ดูหนังกึ่งสารคดีเรื่องนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกที่คุณเห็นอาจไม่ใช่ แต่โลกที่ใช่อาจเป็นโลกที่คุณมองไม่เห็นต่างหาก!