การอภิปรายก่อนการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา เมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา กลายเป็นนิติสงครามว่าด้วย ป.อาญา มาตรา 112 มีการโต้เถียงอย่างดุเดือดเผ็ดมัน ระหว่างพรรคก้าวไกล ผู้เสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี กับ ส.ว. และ ส.ส. บางพรรคที่คัดค้านการแก้ไข ม.112เกจิทางการเมืองส่วนใหญ่ฟันธงว่า การไม่ยอมถอยเรื่อง ม.112 เป็นสาเหตุสำคัญ ทำให้แพ้มติในรัฐสภา ไม่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีในการออกเสียงรอบแรก ฝ่ายที่คัดค้านการแก้ไข นอกจากจะร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยแล้ว ยังกล่าวหาว่า การแก้ไข ม.112 เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นข้อหาที่เลยเถิดหรือไม่ถ้าจะกล่าวหากันรุนแรงและอย่างง่ายๆแบบนี้ จะสามารถกล่าวหาได้หรือไม่ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ที่มีบทบัญญัติให้ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร คสช. มีอำนาจเลือกผู้นำ คสช.เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐธรรมนูญล้มล้างประชาธิปไตยหรือไม่ถ้าต้องการที่จะเป็นประชาธิปไตยกันอย่างแท้จริง ตามคำกล่าวอ้างของทุกฝ่าย สังคมไทยจะต้องสร้างวัฒนธรรม ในการแลกเปลี่ยนความเห็นต่างกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่ชี้หน้ากล่าวหาฝ่ายเห็นต่างว่า ล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ล้มล้างสถาบัน ฝ่ายที่เสนอแก้ไขอ้างเหตุผลว่า เพราะระวางโทษที่สูง ไม่ได้สัดส่วนกับ ความผิดเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากคณะรัฐประหาร 2519 ได้แก้ไข ม.112 จากระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี เป็น “จำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี” เทียบเท่ากับโทษฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา จึงมีการกลั่นแกล้ง หรือกำจัดนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ด้วยข้อหาตาม ม.112 และดึงสถาบันมาเกี่ยวข้องความขัดแย้งทำให้ ม.112 กลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง นำไปสู่ความขัดแย้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) จึงเสนอให้แก้ไข โดยศึกษากฎหมายอาญาของประเทศต่างๆที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่เตือนว่าเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ในสังคมไทยคอป.ซึ่งมี ศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน จึงเสนอแนะรัฐบาลและรัฐสภา ว่า การแก้ไข ม.112 ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง ไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเปิดให้ภาคส่วนต่างๆมีส่วนร่วม หรือแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ต้องเริ่มด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันด้วยเหตุผล.