อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เลือกตั้งมาแล้ว 2 เดือน วันนี้แล้วครับ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน 8 พรรคร่วมรัฐบาล 312 เสียง เกินครึ่ง ส.ส. 500 คนในสภาผู้แทนฯ เสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนมากที่สุดกว่า 14 ล้านเสียง เป็นนายกรัฐมนตรี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เปิดเผยหลังการประชุมกับวิป 3 ฝ่าย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายวุฒิสภา ว่า การโหวตนายกฯจะมีขึ้นในเวลา 17.00 น. หลังจากที่ฝ่าย ส.ว.อภิปราย 2 ชั่วโมง ฝ่าย ส.ส.ทุกพรรคอภิปรายอีก 4 ชั่วโมงเรื่องไม่ปกติแบบนี้ มีแต่ ไทยแลนด์ โอนลี่ ประเทศเดียวในโลก ที่ หัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งมากที่สุด รัฐบาลผสม 8 พรรคที่มีเสียงมากที่สุดในสภา กลับต้องให้ ส.ว.ลากตั้ง 250 คน ที่แต่งตั้งโดยเผด็จการทหารมาร่วมโหวตอนุมัติให้เป็นนายกรัฐมนตรีคุณวันนอร์ แถลงว่า หากได้นายกฯล่าช้า บ้านเมืองจะเกิดความเสียหาย ส่งผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุน จึงขอให้คิดหนักว่าจะทำอย่างไรให้ได้นายกฯด้วยความเรียบร้อย หากการโหวตครั้งแรกไม่ผ่าน ก็ต้องมาพิจารณาโดยยึดตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับ มติศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวินิจฉัยมาแล้ว และความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน มาพิจารณาจะสามารถทำได้อย่างไร ถึงอย่างไรสภาฯก็ต้องดำเนินการให้ได้นายกฯ แต่จะเสนออย่างไร กี่ครั้ง และคนเดิมได้หรือไม่ ขอให้จบรอบแรกเสียก่อนผมเชื่อว่า คุณวันนอร์ ที่เพิ่งแถลงถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากการปฏิวัติรัฐประหารด้วยนํ้าเสียงสะอื้นมาแล้ว จะไม่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องผิดหวังคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล ก็ทำคลิปวิดีโอสื่อสารกับประชาชนว่า วันนี้ชัดเจนแล้วประเทศไทยอยู่ในการเมืองไม่ปกติ อำนาจที่เป็นตัวแทนของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ถูกล้มล้างครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยการรัฐประหาร นิติสงครามและการยุบพรรค ความไม่ปกตินี้เกิดจาก รัฐธรรมนูญ 2560 ที่วันนี้ยังอยู่กับเราอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่นี่คือโอกาสของประเทศที่เราจะคืนความปกติสู่การเมืองไทยอีกครั้ง ให้โอกาสประเทศไทยกลับมามีรัฐบาลที่ชอบธรรม เดินหน้าซ่อมแซมแก้ไขประเทศไทยตามที่ประชาชนคาดหวัง ให้โอกาสประเทศไทยกลับสู่ครรลองของการเมืองรัฐสภาการโหวตเลือกนายกฯที่จะมีขึ้นในวันที่ 13 กรกฎาคม ไม่ใช่การเลือกพิธา ไม่ใช่การเลือกพรรคก้าวไกล แต่คือการเลือกเพื่อยืนยันว่าประเทศไทยต้องเดินหน้าตามระบอบประชาธิปไตยแบบปกติ เช่นเดียวกับประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก การเลือกเพื่อยืนยันว่าแม้เราอยู่ในรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการเมืองที่ไม่ปกติ แต่สมาชิกรัฐสภาทุกคน สามารถใช้เสียงตัวเองสานต่อเจตนารมณ์ที่ประชาชนแสดงออกผ่านการเลือกตั้ง ให้ลุล่วงจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนเสียงข้างมากให้สำเร็จคุณพิธา ยังสื่อสารไปยัง ส.ส. ส.ว.ว่าท่านอาจไม่ชอบแนวทางการเมืองของพวกเราในระบอบการเมืองปกติ แต่พวกท่านตรวจสอบผมได้ โจมตีผมได้ โหวตผมออกจากตำแหน่งก็ยังทำได้ แต่การโหวตให้รัฐบาลเสียงข้างมาก คือการให้โอกาสประเทศไทยเดินหน้าในแบบที่ควรจะเป็น การเปลี่ยนแปลงประเทศจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีรัฐบาลเสียงข้างมาก ตนพร้อมจะเป็นนายกฯของทุกคนก็เป็นการสื่อสารที่ชัดเจน หวังว่าจะผ่านการโหวตในรอบแรก วันนี้ไปได้ ถ้าโหวตรอบแรกไม่ผ่าน ก็อยู่ที่ ประธานสภาฯวันนอร์ จะตัดสินใจ จะให้โหวตอีกกี่ครั้ง ตัวอย่างในสหรัฐฯก็มีแล้ว พรรครีพับลิกันได้เสียงข้างมากต้องโหวตถึง 15 ครั้ง 4 วัน จึงจะได้ประธานสภาผู้แทนฯ เพราะมี ส.ส.ขวาจัด ในพรรครีพับลิกันเห็นว่า นายแมคคาร์ธี ยังขวาจัดไม่พอสู้กับ โจ ไบเดนผมเชื่อว่า คุณวันนอร์ จะใช้ความสามารถที่มีอยู่ ผลักดันการโหวตนายกรัฐมนตรีที่ไม่ปกตินี้ให้ผ่านไปให้ได้ “โดยยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด” ดังพระ ราชดำรัสของ ในหลวง ในพระราชพิธีเปิดประชุมรัฐสภา.“ลม เปลี่ยนทิศ”