ผมสรุปไว้แล้วเมื่อวานนี้ว่า คำพูดที่ว่า “ยิ่งพัฒนาคนรวยยิ่งรวยขึ้น และคนจนกลับยิ่งจนลงนั้น” ไม่ใช่จะเกิดเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศยากจนเท่านั้น แท้ที่จริงแล้วได้เกิดขึ้นอย่างมากในประเทศที่ร่ำรวยแล้วนั่นแหละทำให้ประเทศที่ร่ำรวยมากๆอย่างสหรัฐฯ และยุโรป ในทุกวันนี้เกิดปัญหา “ช่องว่าง” ของรายได้อย่างน่าตระหนกและยากที่จะแก้ไขได้ แม้รัฐบาลของประเทศนั้นๆจะพยายามอยู่ก็ตามนักเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และเขียนไว้ในหนังสือ “CAPITAL in the Twenty–First Century” ได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ไว้แล้วกลุ่มคนรวยที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์แรกของสหรัฐฯ มีส่วนแบ่งในจีดีพีของประเทศไปถึงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จากไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อ 50 ปีก่อน (1970) มาเป็น 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมาในหนังสือดังกล่าว THOMAS PIKETTY นักเศรษฐศาสตร์ฝรั่งเศสที่เคยสอนที่ MIT พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าเหตุที่คนรวยรวยขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนรวยเป็นเจ้าของ “ทุน” และผลตอบแทนจาก “ทุน” นั้นสูงกว่าผลตอบแทนจากปัจจัยการผลิตอื่นๆ โดยเฉพาะรายได้จากแรงงานเมื่อครั้งที่ศาสตราจารย์พิกเก็ตตี้ ตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมาประมาณ 7-8 ปีก่อนโน้น เชื่อว่าเป็นบทสรุปที่ “ช็อกโลก” ไม่น้อย และทำให้รัฐบาลของประเทศเจริญแล้วเริ่มหันมามีมาตรการที่จะจัดการกับ “กลุ่มทุน” มากขึ้นผมจำไม่ได้แล้วว่ารัฐบาลสหรัฐฯ หรือประเทศในยุโรปดำเนินการอย่างไรบ้าง แต่จากข้อมูลล่าสุดที่ดูเหมือนความเหลื่อมล้ำจะยังคงสูงอยู่ ผมก็เดาว่าคงเป็นเรื่องยากอยู่พอสมควรที่จะจัดการจะหันไปใช้วิธีรุนแรงแบบที่ระบบคอมมิวนิสต์เคยใช้ในอดีต ก็จะมีแต่ความเสียหายหนักและในที่สุดก็แก้ไม่สำเร็จ จนประเทศคอมมิวนิสต์ต้องหันมาใช้ระบบ “ทุนนิยม” อีกครั้งดังเช่นปัจจุบันของบ้านเรามีความพยายามที่จะแก้ปัญหาความยากจนมาตั้งแต่ยุค “ป๋าเปรม” โดยเน้นที่การจัดหา “สิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิต” หรือบางยุคก็เรียกว่า จปฐ.ให้แก่คนไทยที่ยากจนส่วนใหญ่มีโอกาสได้รับอย่างทั่วถึงเสียก่อนโดยขยายความจาก “ปัจจัย 4” อันได้แก่ “อาหาร-ที่อยู่อาศัย-เครื่องนุ่งห่ม-ยารักษาโรค” เป็นพื้นฐานแล้วก็เพิ่มเติมความจำเป็นหลักๆอื่นๆเข้าไป เช่น การศึกษา, การคมนาคมขนส่ง, การหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยไม่สูงนัก ฯลฯแม้การดำเนินงานในลักษณะดังกล่าวจะทำให้คนจนของไทยเราเข้าถึงสิ่งจำเป็นในชีวิตได้มากขึ้น แต่ในแง่ “รายได้” แล้ว ปัญหาดูจะหนักกว่าเดิมข้อมูลจากหลายๆแหล่งในช่วงหลังๆ บ่งชี้ว่าความเหลื่อมลํ้าของรายได้กลับพุ่งสูงขึ้นอีกโดยเฉพาะหลังช่วงโควิด-19 อาละวาดสถานการณ์น่าจะหนักขึ้นไปอีกหลายๆเท่าผมจึงถือโอกาสใช้คอลัมน์นี้เขียนถึงคนรวยมากๆของบ้านเรา บ่อยๆครั้ง ขอให้ลงไปช่วยกันดูแลคนยากจนด้วยอีกแรงหนึ่ง แม้ผมจะทราบดีว่าทุกๆท่านช่วยอยู่แล้วผ่านองค์การกุศลต่างๆ และผ่านโครงการ CSR ของท่านเอง แต่ก็เกรงว่าจะไม่พอเพียงผมเคยเขียนถึงบางโครงการของ ไทยเบฟ ที่ลงไปช่วยเหลือเรื่องธุรกิจชุมชนเขียนถึงบางโครงการของ เจริญโภคภัณฑ์ กับการพัฒนาการศึกษาในชนบทรวมทั้งการเขียนถึงโครงการ “น่านแซนด์บ็อกซ์” ของเจ้าสัว บัณฑูร ล่ำซำ มหาเศรษฐีอันดับ 32 ของปีนี้ที่มุ่งหวังจะแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าต้นน้ำของจังหวัดน่านอย่างถาวร ซึ่งก็จะต้องแก้ที่ปัญหาความยากจนของพี่น้องชาวน่านที่อยู่บริเวณรอบๆป่าต้นน้ำนั่นเองผมขอให้กำลังใจแด่ทุกๆท่านที่ผมเชื่อว่าท่าน “แบ่งปัน” อยู่แล้วให้แบ่งปันมากขึ้นและมากขึ้นแม้วิธีนี้จะลดช่องว่างทางการเงินหรือทางรายได้ไม่ได้มากนัก...แต่จะช่วยลดช่องว่างทาง “อารมณ์” และ “ความรู้สึก” ได้อย่างมหาศาลดังที่ผมเขียนไว้วานนี้จะช่วยเป็นเกราะป้องกัน “ภัย” จากความเหลื่อมลํ้าที่เราเห็นเป็นตัวอย่างล่าสุดที่ฝรั่งเศส และหลายๆครั้งที่สหรัฐฯ ก่อนหน้านี้ผมมั่นใจครับ ว่า “เมตตาธรรมจะช่วยค้ำจุนโลกให้อยู่เย็นเป็นสุขได้ ตลอดไป.“ซูม”