ความไม่พร้อมของครอบครัวกลายเป็นปัญหา “ผลักให้เด็กต้องออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านเติบโตในสถานรองรับของภาครัฐ และภาคเอกชนเพิ่มมากขึ้น” ส่วนใหญ่สถานรองรับเหล่านี้ยังขาดระบบติดตามกำกับดูแลทำให้ “เด็กหลายคน” ตกอยู่ในความเสี่ยงถูกทารุณกรรม และความไม่มั่นคงในอนาคตถ้าหากดูจากงานวิจัย “เด็กโตนอกบ้านในสถานฯ ที่ไม่มีใครมองเห็น” ประเทศไทยมีเด็กที่จำเป็นต้องออกมาเติบโตนอกบ้านในสถานรองรับ “จนขาดทักษะการอยู่ร่วมกับสังคม” ด้วยข้อจำกัดการตอบสนองความต้องการรายบุคคลไม่ได้ ดร.กัณฐมณี ลดาพงษ์พัฒนา คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ม.มหิดล เล่าว่าเด็กไทยเติบโตนอกบ้านในการเลี้ยงดูรูปแบบสถานรองรับ ทั้งสถานสงเคราะห์ บ้านพักเด็ก โรงเรียนประจำ โรงเรียนสอนศาสนา สถานประเภทอื่นรับเด็กไว้เลี้ยงดูมีอย่างน้อย 1.2 แสนคน “จำนวนนี้มี 80% เข้าไปเพราะความยากจน หรือเข้าไม่ถึงระบบการศึกษา” ทำให้ผู้ปกครองนำเด็กไปฝากเพื่อหวังให้ส่งเรียนจนจบสูงๆ ตามงานวิจัยใหม่ “เด็กโตนอกบ้าน...ในสถานฯ ที่ไม่มีใครมองเห็น” ปัจจุบันมีเด็กกว่า 6,000 คนอาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์ของรัฐ 30 แห่ง และอีกราว 43,000 คนเติบโตในโรงเรียนประจำภาครัฐ แล้วจำนวนนี้ยังรวมถึงเด็กพิเศษ 12,000 คน นอกจากนี้ยังมีเด็กกว่า 33,000 คนบวชเป็นเณรและอีก 2,000 คนที่อาศัยอยู่ที่วัดต่อมาในส่วน “เด็กที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนมีอยู่ราว 39,000-77,000 คน” ส่วนใหญ่เป็นสถานสงเคราะห์ไม่มีใบอนุญาตจัดตั้งเป็นสถานรองรับตามที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย โดย จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงรายมีมากที่สุด โดยคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนทั้งหมดทั่วประเทศถ้าหากมาดู “สถานรองรับเด็กเอกชน” ประเทศไทยมีการรวบรวมได้อย่างน้อย 679 แห่ง ในกลุ่มนี้มีสถานสงเคราะห์เด็กเอกชนอย่างน้อย 390 แห่งดำเนินการโดยมิได้รับใบอนุญาตตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546ส่วนใหญ่จัดตั้งเป็น “มูลนิธิ” มีใบอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยเท่านั้นแต่การที่จะเป็นสถานรองรับตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ต้องขอใบอนุญาตกับ “กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)” นั้นก็แปลว่า “เด็กจำนวนไม่น้อย” ต้องอยู่ในสถานรับเลี้ยงผิดกฎหมายที่กำลังตกอยู่ในความเสี่ยงของความไม่ปลอดภัย ข้อกังวลถัดมา “เด็กโตนอกบ้านถูกเลี้ยงต่างจากรูปแบบครอบครัว” โดยเฉพาะเด็กเล็กจะไม่ได้รับการตอบสนองต่อการเรียกร้องใดอย่างเช่น “เด็กร้องไห้งอแง” มักจะไม่ค่อยมีใครสนใจดูแล เพราะด้วยข้อจำกัดของผู้ดูแลมีน้อยเมื่อเทียบกับ “จำนวนเด็ก” ทำให้กลายเป็นความเสี่ยงพัฒนาการล่าช้าตามมาได้ด้วยอีกประการ “เสี่ยงเกิดภาวะความผูกพันไม่มั่นคง” กล่าวคือปกติเด็กทุกคนมักจะเติบโตขึ้นมาโดยมีพ่อแม่ตนเองให้การดูแล “สร้างความอบอุ่น และความปลอดภัย” แม้ว่าเด็กคนนั้นจะเกเรทำตัวไม่ดีมากเพียงใดก็ยัง “พ่อแม่ก็คอยเป็นห่วงดูแลเสมอ” อันเป็นสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมจนเด็กมีความมั่นใจผูกพันกับบุคคลนั้นแต่ว่าสำหรับ “เด็กในสถานสงเคราะห์” ค่อนข้างขาดโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง “ด้วยเงินเดือนผู้ดูแลน้อย” ทำให้ต้องเปลี่ยนตัวผู้ดูแลกันอยู่บ่อยๆ จนเด็กขาดความผูกพันที่มั่นคงด้วยโดยเฉพาะกรณี “ผู้ใจบุญเข้าเยี่ยมเลี้ยงอาหารกลางวันแจกสิ่งของ” มักทำให้เด็กมีความรู้สึกดีใจมีความอบอุ่นกันเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่สิ่งนี้กลับทำให้เด็กต้องเผชิญการถูกพลัดพรากจากบุคคลที่เขาคิดจะสร้างความมั่นคงด้วยเกิดขึ้นบ่อยเกินไป “จนเด็กเกิดภาวะความผูกพันไม่มั่นคง” ส่งผลกระทบเชิงลบไปตลอดชีวิตผลก็คือ “เด็กเหล่านี้จะเริ่มต้นความผูกพันกับบุคคลอื่นได้ยากมากๆ” แม้แต่ในอนาคตมีครอบครัวแล้วก็ตามแต่เขายังมีความรู้สึกว่า “โลกใบนี้ไม่มีความมั่นคง และปลอดภัย” ดังนั้นเรื่องนี้เป็นผลเชิงหลักจิตวิทยาค่อนข้างสูง “อันเป็นผลกระทบเชิงลบต่อเด็กโดยตรง” โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้ทำให้สถานทูตหลายแห่งประกาศขอความร่วมมือพลเมืองตัวเองว่ากรณีมาเที่ยวเมืองไทยห้ามทำบุญในสถานสงเคราะห์ เพราะเป็นการทำร้ายเด็กทางอ้อมอาจกลายเป็นเครื่องมือถูกใช้หาผลประโยชน์ได้ง่ายประเด็นที่น่าเป็นห่วงที่สุด “การใช้ความรุนแรงกับเด็ก” เพราะด้วยความแตกต่างทางอำนาจมักส่งผลให้ “เด็กอาจสมยอมต่อการกระทำบางประการอย่างไม่เหมาะสม” สังเกตจากปัจจุบันนี้มีกรณีการทารุณกรรมเด็กในสถานสงเคราะห์ตกเป็นกระแสข่าวเกิดขึ้นบนหน้าสื่อต่อเนื่องรายวันยกตัวอย่างกรณีเด็กหญิงคนหนึ่งอยู่ในสถานสงเคราะห์เอกชน “เคยเห็นเพื่อนถูกทำร้ายทารุณกรรมบ่อยๆ” แต่ไม่กล้าพูดบอกใครเพราะเกรงตัวเองจะเกิดอันตรายได้รับผลกระทบทำให้เลือกที่จะไม่ขอพูดกับใครแม้แต่ “โรงเรียนสอนศาสนา” อย่างกรณีวัดให้การดูแลเด็ก หรือสามเณรก็มีเหตุการณ์ทำร้ายเด็กเกิดขึ้นบ่อยๆ ดังนั้นตามข้อมูลประเทศไทยมีเด็กโตนอกบ้านอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูในรูปแบบสถานรองรับอย่างน้อย 1.2 แสนคน ทำให้ประเทศกำลังสูญเสียบุคคลที่จะก้าวมาเป็นทรัพยากรมนุษย์อันมีคุณภาพในอนาคตไปสังเกตง่ายๆ “เด็กถูกเลี้ยงดูในสถานสงเคราะห์ตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 18 ปี” เมื่อครบกำหนดต้องออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองกลับไม่มีความมั่นใจ เพราะไม่เคยถูกสอนทักษะการอยู่ร่วมกับสังคมเหมือนกับเด็กคนอื่นๆถ้าเทียบเคียงงานวิจัย “ประเทศยุโรปตะวันออก” มีการศึกษาตัวเลขเด็กออกจากสถานสงเคราะห์มาใช้ชีวิตภายนอกพบว่า “มีความเสี่ยงต่อการไปสู่อาชญากร โสเภณี รวมถึงปัญหาทางสังคมอื่นสูงกว่าเด็กทั่วไป” แต่สำหรับประเทศไทยแล้วเรื่องนี้ยังไม่เคยมีการศึกษาจริงจัง ทำให้ไม่มีข้อมูลสามารถบอกได้ชัดเจนจริงๆแล้ว “เด็กถูกเลี้ยงภายใต้สถานรองรับมากกว่า 80% มีผู้ปกครอง” แต่ด้วยเพราะฐานะทางครอบครัวมีความยากจน และขาดแคลนไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กๆได้ “พ่อแม่ หรือเฉพาะพ่อ หรือแม่” ก็เลยจำเป็นต้องส่งลูกหลานเข้าไปอยู่ในสถานสงเคราะห์เพื่อให้รับไว้เลี้ยงดู และส่งเรียนหนังสือจนจบปริญญาตรี ฉะนั้นหากดูกันเป็น “รายบุคคลเด็กโตนอกบ้าน 1.2 แสนคน” จำนวนนี้มีอย่างน้อย 70-80% ยังมีโอกาสกลับไปสู่ครอบครัวได้ “สร้างความผูกพันอันเป็นปกติกับคนอื่น” แล้วพัฒนาทักษะการใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป “ด้วยการใช้นโยบายคุ้มครองเด็กครอบคลุมในสถานสงเคราะห์” เพื่อให้พวกเขามีความปลอดภัยยิ่งขึ้นกล่าวคือ “ขยายความร่วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ” โดยเฉพาะภาครัฐที่มีเด็กอยู่ในการเลี้ยงดูพร้อมปรับใช้นโยบายคุ้มครองเด็ก “จัดให้มีแผนดูแลเป็นรายบุคคล” เพื่อคืนเด็กสู่ครอบครัวในสถานรองรับทุกประเภท ทั้งสถานรองรับเด็กเอกชน สถานรองรับเด็กของรัฐ โรงเรียนประจำ หอพักนักเรียนการกุศล โรงเรียนสอนศาสนาย้ำข้อเสนอระยะยาวด้วยปัจจุบัน “ประเทศไทย” มีการกำหนดแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยการเลี้ยงดูทดแทนสำหรับเด็กระยะที่ 1 พ.ศ.2565-2569 แล้วแผนนี้กำกับดูแลครอบคลุมทั้งสถานสงเคราะห์ ครอบครัวทดแทน ครอบครัวอุปถัมภ์ และปู่ย่าตายายอุปถัมภ์ แต่สิ่งนี้ยังขาดเจตจำนงทางการเมืองในการเอาจริงเอาจังกลายเป็นปัจจุบันหน่วยงานรัฐจัดให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูแบบครอบครัวอุปถัมภ์ที่ไม่ใช่ครอบครัวเด็กโดยผ่านการพิจารณาสามารถเลี้ยงดูได้อย่างเหมาะสม 300-400 ครอบครัวและครอบครัวเครือญาติอุปถัมภ์ 5,000 ครอบครัวได้รับการสนับสนุนเดือนละ 2,000 บาท/คน/เดือน อันเป็นจำนวนที่น้อยมากจากทั้งหมด 3 ล้านครอบครัวสุดท้ายฝากไว้ “ภาครัฐต้องเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว และชุมชน” เพราะเด็กเข้ามาอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูในสถานรองรับ “มักมาจากความจน และขาดโอกาสทางการศึกษา” ที่ไม่ใช่เหตุผลแยกเด็กออกจากครอบครัวแต่เป็นสัญญาณชี้ความจำเป็นที่ควรช่วยครอบครัวให้เข้มแข็งพอพึ่งพาตนเองเลี้ยงดูบุตรเองได้ฉะนั้นเมื่อ “ครอบครัวมีความพร้อมพอ และชุมชนมีความเข้มแข็ง” ก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการพรากเด็กออกจากครอบครัวโดยไม่จำเป็น...