ขอส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีกระต่ายเริงร่า “ทีมการเมือง” ทิ้งท้ายบทสัมภาษณ์พิเศษบุคคลที่มีบทบาททางการเมืองอีกคน จนถูกจับตาสามารถนำพาพรรคถึงขั้นเป็นกลจักร “รวมนักการเมืองสร้างชาติ” จัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งได้สำเร็จหรือไม่บุคคลนั้นมีนิกเนม “เสี่ยตุ๋ย” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่เปิดใจทันทีเมื่อมีความชัดเจนจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ตัดสินใจเปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯในนาม รทสช.นายพีระพันธุ์ บอกถึงการพูดคุยกับนายกฯ ก่อนเปิดตัวเป็นทางการ 23 ธ.ค.65 โดยบอกว่า ที่ผ่านมาไม่กล้าพูด เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา เป็นมารยาททางการเมือง และเป็นเรื่องส่วนตัวโดยแท้ ถ้าไม่พูดก็อย่าไปยุ่งกับท่านถ้าท่านไม่พูด ผมก็ไม่พูด แต่ถ้าท่านพูด ผมก็พูดต่อ ความจริงได้มีโอกาสคุยกันเล็กๆน้อยๆ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. พอดีมีประเด็นขึ้นมา มีโอกาสท่านก็พูดเรื่องนี้ และมีโอกาสพูดต่อกับท่านอีกเล็กน้อยเมื่อเช้า 23 ธ.ค.เอ่อ!! ท่านตัดสินใจจะมาร่วมงานที่นี่…ก็แค่นี้มีหลายฝ่ายมองว่านับเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ อารมณ์ดีและพูดการเมืองชัดเจน นายพีระพันธุ์ บอกว่า นายกฯพูดมาตลอดว่าถึงเวลาจะพูดเอง ไม่ต้องจี้ถามท่าน ทุกอย่างเขามีเหตุผลช่วงที่ผ่านมาที่ท่านคุยกับผมล้วนเป็นเรื่องงานทั้งหมด ไม่ได้พูดถึงการเมือง อย่างวันก่อนผมในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรม และเร่งรัดการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนผู้ร้องเรียน และผู้ร้องทุกข์ ตามคำสั่งนายกฯ มีคนประสบอุบัติเหตุขาขาดอยากเข้าพบขอบคุณนายกฯ ก็เดินบรีฟให้นายกฯฟัง กลายเป็นจังหวะเหมาะกับประเด็นการเมือง ไปตั้งข้อสังเกตว่านายกฯและผมเจ๊าะแจ๊ะ 2 คน ทั้งที่เป็นเรื่องงาน ไม่ใช่การเมืองขอย้ำให้เห็นถึงโอกาสที่เข้าไปแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน เขารู้สึกเลยว่าที่ผ่านมาไม่มีพรรคการเมืองไหนมาช่วยต่อสู้แก้ปัญหาให้ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะปัญหาความยากจน ยังมีปัญหาทุกอย่างในการดำรงชีวิตที่ชาวบ้านไร้ที่พึ่งคนอื่นๆดูเหมือนเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่สำหรับชาวบ้านเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ต่ออาทิ ทำสวน ทำไร่ในที่ดินของพ่อแม่ทำไว้ วันนี้กลายเป็นบุกรุกป่า จะกินข้าวอย่างไร หาเงินที่ไหน เข้าไปปลูกผัก ทำไร่นาอย่างไร หลังถูกกฎหมายเข้ามาจัดการ ชาวบ้านรู้ที่ไหนล่ะ ตกใจหมดแล้ว แต่เขารู้สึกว่าไม่มีผิดทุกข์ของชาวบ้านเหล่านี้มั่นใจแก้ไขได้ โดยเมื่อประชาชนไว้วางใจเลือกให้เข้าไปเป็นรัฐบาลปุ๊บ เตรียมใช้แนวทางหนามยอกเอาหนามบ่ง“ทุกวันนี้ชาวบ้านรู้สึกถูกรัฐรังแก รัฐก็บอกว่าไม่ได้รังแก เขาทำตามกฎหมาย ชาวบ้านไม่รู้กฎหมาย อยู่แบบนี้มานาน วันนี้ทำไมผิดกฎหมายภาครัฐบอกวันนี้กฎหมายเป็นอย่างนี้ คือหนามยอก ก็ต้องเอาหนามบ่ง คือออกกฎหมายใหม่ โดยเฉพาะปัญหาที่ดินทำกินของชาวบ้าน เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐ 4-5 องค์กรต้องใช้กฎหมายฉบับเดียวจบ เตรียมเป็นนโยบายไว้พร้อม ดำเนินการได้ทันทีที่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน”นโยบายสำหรับรณรงค์หาเสียงเตรียมไว้เรียบร้อย แต่ยังไม่ถึงเวลา ในทางการเมืองบางครั้งเปิดเร็วก็แป๊ก บางครั้งเปิดมาปั๊บเพื่อนจากพรรคอื่นเอาไปลอกสำหรับผมที่อยู่การเมืองมานาน มี 2 ประเด็นสำคัญที่สุด “เร็วเกินไปก็ไม่ได้ ช้าเกินไปก็ไม่ดี ทุกเรื่องมันมีจังหวะ การเมืองเป็นเรื่องจังหวะและเวลา” เดือน ก.พ.2566 รทสช.เริ่มเปิดนโยบายแรกจังหวะและเวลาที่นายกฯเปิดตัวทางการเมืองชัดเจน เป็นสัญญาณให้นักการเมือง โดยเฉพาะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจมา รทสช. นายพีระพันธุ์ บอกว่า เราเปิดกว้าง ไม่ได้บอกว่าพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ถ้ามีใครที่มีแนวคิดตรงกับ รทสช. อยากเข้ามาทำงานช่วยสร้างชาวบ้านและประเทศชาติก็มา ความจริงคนจากหลายพรรคสนใจยื่นความจำนงมาล่วงหน้าแล้ว“เอาเป็นว่าไม่น้อยกว่าพรรคอื่นแล้วกัน ทุกอย่างเป็นจังหวะเวลา แต่มากันก่อนแล้ว มาทำความเข้าใจตกลงกันก่อนที่นายกฯประกาศกลุ่มนี้ที่มาไม่ใช่เพราะนายกฯ ส่วนใหญ่คุยกันล่วงหน้า บางคนถาม บางคนไม่ถาม แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยว่า ผมทำพรรคนี้ขึ้นมา เพื่อเป้าหมายอย่างนี้สิ่งที่ขับเคลื่อนในอดีต ไม่ได้ทำเพื่อว่านายกฯ จะมาหรือไม่ ไม่เคยบอกว่ามาอยู่นี้แล้วจะมีนายกฯ หรือไม่ แต่เมื่อท่านพูดชัดเจน ก็ต้องบอกกับทุกคนว่า...ท่านมา!!”หลังนายกฯประกาศชัดจะสมัครเป็นสมาชิก รทสช.ต้องปรับยุทธศาสตร์การเมือง หรือปรับโครงสร้างพรรค หรือปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) อย่างไร นายพีระพันธุ์ บอกว่าไม่มี ไม่ปรับวันนี้เตรียมพร้อมสู่สนามเลือกตั้งเพราะเหลือเวลาแค่ไม่กี่เดือน และ รทสช.ที่ขับเคลื่อนมาตั้งแต่เปิดตัวพรรคอย่างเป็นทางการ 3 ส.ค.65 ถือว่าเดินได้ดีในระดับหนึ่งเมื่อใกล้เลือกตั้ง กก.บห.ต้องมีความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น ก็แต่งตั้งรองหัวหน้าพรรคเพิ่ม รับผิดชอบงานด้านนั้นด้านนี้ เป็นหัวไม่ได้แปลว่าเด็ดขาด ทุกอย่างมีกติกา ต้องเข้าที่ประชุม ไม่ใช่อำนาจไปตกอยู่กับใคร หรือมีอำนาจเด็ดขาด มันเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะ สุดท้ายคนนั้นมีอำนาจสูงสุด ใครอย่ามายุ่งพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาใหม่ในระนาบเดียวกัน พยายามดิ้นควบรวมพรรคลุยเลือกตั้ง แต่ รทสช.มีจุดแข็งตรงไหนถึงนิ่ง และเดินหน้าทำการเมืองต่อ นายพีระพันธุ์ บอกว่า เรามีหลักการทำงานที่ดี มีคนที่ดีมาอยู่ด้วยกัน ทุกคนมีเป้าหมายทำงานเพื่อบ้านเมืองสภาพภายในถึงนิ่ง รทสช.ไม่เคยบอกว่าต้องเป็นพรรคใหญ่ พรรคเล็ก แต่ทำเพื่อในสิ่งที่อยากทำ เหมือน เดินไปบนท้องถนน มีคนหันมาถามว่าจะเดินไปทำไม เราก็ตอบเขาไป เขาก็เฮ้ยเอาด้วย สุดท้ายมีคนมาร่วมเดินกับเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆรทสช.มีธงหลักสำคัญอีกข้อคือ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” หลังเลือกตั้งจับมือพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร นายพีระพันธุ์ บอกว่า ผมไม่ได้ทะเลาะกับใคร ต้องดูแนวทางการเมือง วัตถุประสงค์ เป้าหมายเดินไปทางเดียวกันได้หรือไม่ วันนี้เราต้องไม่แบ่งแยก ถ้าแบ่งแยกคนไทยจะ “รวมไทยสร้างชาติได้อย่างไร”อะไรที่กระทบต่อประโยชน์สาธารณะ ความมั่นคงของประเทศควรหาทางพูดจาและจูนให้เข้ากัน เพื่อรวมพลังของทุกฝ่ายช่วยสร้างบ้านเมืองให้น่าอยู่ที่สำคัญทิศทางต้องตรงกันทุกอย่างที่ทำ “ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์-ประโยชน์ ของประชาชนและประเทศชาติ”ไม่ใช่ทำเพื่อเป้าหมายส่วนตัว ทำเพื่อสร้างฐานอำนาจ ไม่ใช่คนนี้สั่ง คนนั้นสั่ง แบบนี้ทำงานด้วยไม่ได้รทสช.เป็นรัฐบาลประเทศไทยจะเปลี่ยนโฉมอย่างไร นายพีระพันธุ์ บอกว่า ยืนยันถ้า รทสช.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลคราวหน้า ประเทศไทยดีขึ้นทุกอย่างเช่น ผมมองการปฏิรูปตำรวจไม่เหมือนคนอื่น เริ่มต้นจากต้องรื้อพอดีให้ตำรวจกลายเป็น “ผู้ให้บริหาร ไม่ใช่ผู้สั่งการ” ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เรื่องนี้เป็น 1 ใน 4 หัวข้อหลักที่ต้องรื้อหลังปีใหม่ 2566 รทสช.พร้อมลงสู่สนามเลือกตั้งไม่ว่ารัฐบาลอยู่ครบเทอม หรือยุบสภา และดูแล้วรัฐบาลอยู่ครบเทอม หรือยุบสภา นายพีระพันธุ์ บอกว่า พร้อมขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เปิดตัวก็เดินมาอย่างมั่นคงบางพรรคที่เปิดตัวสนั่นเวที แล้ววันนี้ไปไหนล่ะ รทสช.ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเรื่อยๆแบบสึนามิ...มาใต้น้ำแล้วโผล่ขึ้นหาดทรายส่วนวาระของรัฐบาล บางครั้งบางจังหวะคนก็พูดไป แต่ทุกคนที่เป็นรัฐบาลหรือ ส.ส. ไม่มีใครอยากยุบสภา ทุกคนอยากอยู่จนสุดๆ ฉะนั้น เมื่อมันไม่มีความแน่นอนแบบนี้ ต้องใช้มาตรฐานปกติ…รัฐบาลอยู่ครบวาระเป็นเกณฑ์…ทีมการเมือง