“ผมมั่นใจว่าปีนี้คดีอาชญากรรมออนไลน์ลดลงเห็นได้ชัดเจนไม่ให้เกิน 300 คดีต่อวัน ยิ่งมีการออกพระราชกำหนด รวมถึงมาตรการเร่งรัดต่างๆ จะเดินตามปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่ใช่กดดันให้เจ้าหน้าที่ไปเบี่ยงเบน “เป่าคดี” ไม่รับคดีที่ผู้เสียหายแจ้งความเพื่อทำให้คดีน้อยลง แบบนี้ไม่เอา เพราะจะทำให้เราแก้ปัญหาในระยะยาวไม่ได้ เราต้องการรู้ปัญหาจริงและค่อยๆให้ลดลงตามข้อเท็จจริงผ่านกระบวนการต่างๆ ทั้งในมิติการป้องกันผ่านการออกพระราชกำหนด มิติให้ความรู้ที่มี “ครูไซเบอร์” แต่ละพื้นที่ให้ความรู้ประชาชน ติดต่อศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ จะได้เกิดการเรียนรู้แผนประทุษกรรมใหม่ต่อยอดเรื่อยๆ”พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เปิดใจ “ทีมข่าวอาชญากรรม” เกี่ยวกับปัญหาใหญ่อาชญากรรมออนไลน์ที่มีคนไทยตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงหลากหลายรูปแบบ เป็นสิ่งที่ตั้งใจทำตั้งแต่สมัยที่เป็นรอง ผบ.ตร.และมาสานงานต่อในหน้าที่ ผบ.ตร. วางระบบสืบสวนสอบสวนและรับแจ้งความเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เสียหาย เชื่อมโยงพฤติกรรมกลุ่มผู้กระทำผิด สืบสวนดำเนินคดีทั้งเครือข่ายและแจ้งเตือนภัยไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ“เมื่อประชาชนมาแจ้งความที่โรงพักต้องรับเรื่องรีบลงระบบเพื่อให้ระบบประมวลผลว่าเชื่อมโยงกับคดีอื่นๆของโรงพักหรือไม่ คดีความผิดอาชญากรรมทางออนไลน์เฉลี่ยแล้วเกิดขึ้น 600–700 คดีต่อวัน เชื่อว่าคดีพวกนี้ในอนาคตจะลดลงเรื่อยๆ” ผบ.ตร.ย้ำถึงเป้าหมายลดคดีเหยื่อถูกหลอกทางออนไลน์ สอดรับตัวเลขรับแจ้งความออนไลน์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.ถึงวันที่ 26 พ.ย.รับแจ้งความ 132,747 คดี พบว่า 5 กลโกงรับแจ้งมากที่สุด 1.คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 2.โอนเงินเพื่อหารายได้จากกิจกรรม 3.หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 4.หลอกให้ลงทุน 5.หลอกลวงทางโทรศัพท์เป็นขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้อมูล 5 กลโกงที่พบความเสียหายสูงสุด 1.หลอกให้ลงทุน ความเสียหาย 6.4 ล้านบาท 2.หลอกลวงทางโทรศัพท์แบบเป็นขบวนการ ความเสียหาย 2.1 ล้านบาท 3.โอนเงินเพื่อหารายได้จากกิจกรรม ความเสียหาย 2.0 ล้านบาท 4.หลอกให้รักแล้วลงทุน ความเสียหาย 0.99 ล้านบาท และ 5.หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน ความเสียหาย 0.67 ล้านบาท ติดตามอายัดบัญชี 49,045 บัญชี อายัดได้ทัน 379,330,727 บาทพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ใช้เวลา 2 เดือนปรับระบบคดีอาชญากรรมเทคโนโลยีเข้ารูปเข้ารอยอาศัยประสบการณ์ที่รับผิดชอบ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือ PCT วางมาตรการในการแก้ไขปัญหาในทุกมิติ ทั้งแจ้งเตือนภัย รับแจ้งความและสืบสวนจับกุม โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.เป็น ผอ.ศูนย์ PCT พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็น รอง ผอ.ศูนย์ PCT และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.สส. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ร่วมจับกุมเครือข่าย “ตอนนี้เรากำลังจะร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยแนวทางคือเราจะบล็อกทุกอย่าง”“พบแล้วว่าตัวการใหญ่ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติ จะใช้พื้นที่แนวชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้านเป็นที่พำนักอาศัยเป็นที่ทำงาน เพราะหากอยู่ในประเทศไทยเราจับกุมได้หมด จะเลี่ยงกฎหมายทำให้จับกุมได้ยากพบว่า มีการใช้การทำงานโดยผ่านคนไทยบางส่วนที่ไปร่วมมือข้ามพรมแดนไปทำงานอ้างว่าจะให้เงินเดือน 25,000-30,000 บาท พอเข้าไปเป็นลูกน้องร่วมเป็นกระบวนการของ “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” บางรายเปิดบัญชีม้าหรือจิ๊กซอว์การกระทำผิดต่างๆที่ใช้คนไทยเราต้องตัดตอนให้ได้ทั้งหมด ไม่ให้มี “บัญชีม้า” ไม่ให้ใช้เครือข่ายโทรศัพท์ลักษณะที่ไม่ระบุตัวตนหรือพวกที่ใช้ซิมการ์ดมือถือที่ไม่ระบุตัวตน ตลอดจนกระบวนการอายัด ยึดสิ่งผิดกฎหมายต้องรวดเร็ว” เป็นข้อมูลที่มาของปัญหาที่อยู่ในมือ ผบ.ตร.“ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการแก้กฎหมาย เพราะกฎหมายที่มีอยู่ยังทำให้ทำได้ช้า เมื่อเราป้องกัน “บัญชีม้า” ไม่ให้เกิดขึ้นง่ายๆหรือใครที่มีพฤติกรรมมีธุรกรรมต้องสงสัย เช่นพบว่ามีการโอนเงินถี่เกินไปโดยไม่มีเงินหลงเหลืออยู่เข้าข่ายบัญชีต้องสงสัย จะใช้การทำธุรกรรมต่างๆ กับธนาคารโดยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตไม่ได้แล้ว ถ้าจะถอนเงินต้องไปถอนที่สำนักงานของธนาคารเป็นลักษณะที่ไม่เปิดโอกาสให้โอนเงินภายใน 3–4 นาที โอนไปหลากหลายบัญชี มีเบอร์มือถือเดียวผูกไว้กับหลายบัญชีแสดงว่ามีลักษณะต้องสงสัย เราจะพยายามบล็อกป้องกันตั้งแต่ต้น เราต้องทำมิติการป้องกันมากขึ้น ระหว่าง บช.สอท.กับสถานีตำรวจ ทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน” ผบ.ตร. มองด้วยประสบการณ์ที่เกาะติดคดีอาชญากรรมออนไลน์มานาน “คดีส่วนใหญ่ที่มีการหลอกลวงมันจะมีแผนประทุษกรรมหลักๆ คือ “กลัว-โลภ-หลง” ทำให้เกิดความกลัวที่เรียกว่าคอลเซ็นเตอร์ กลัวจนต้องส่งเงินไปเช่นโทรศัพท์มาอาจอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานต่างๆ จนมาถึงสายสุดท้ายจะอ้างว่าเป็นตำรวจแล้วบอกให้ส่งเงินไป อันดับสองที่เกิดเหตุบ่อยๆคือความโลภ อาจจะเกิดจากความไปตีสนิท เชื่อมั่นกัน จีบกันหลอกให้ลงทุนอะไรต่างๆ อีกอย่างคือ หลงด้วยเรียกว่าโรแมนซ์สแกม ตีสนิททางเฟซบุ๊ก ทางไลน์ ทางไอจี เพื่อให้มีความเชื่อว่าจีบกัน เป็นแฟนกันแล้วมีเหตุให้ต้องโอนเงินไปช่วยหรือชวนให้ลงทุน” ผบ.ตร.เปิดโปงพฤติกรรม “แก๊งออนไลน์” กำลังระบาดหนัก“เราพัฒนาอยู่ตลอดและเรารู้ปัญหาเยอะกว่าหน่วยงานอื่น แต่ปัญหานี้ไม่สามารถทำสำเร็จได้โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพียงหน่วยงานเดียว แต่ต้องอาศัยหน่วยงานอื่นๆ ธนาคารเรื่องการโอนการบล็อกต้องเร็ว เครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือเพราะโทรศัพท์จะผูกกับเบอร์ของประชาชน เครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ต้องช่วย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ก.ล.ต. เพราะสุดท้ายแล้วเงินจะถูกโอนไปอยู่ในระบบคริปโต เคอร์เรนซี ก.ล.ต.มีส่วนช่วยแก้ระเบียบกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีอำนาจอายัด ยึดทรัพย์สินและการออกข้อระเบียบต่างๆ ต้องช่วยกันจะทำให้สำเร็จได้”พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เดินหน้าเร่งแก้ปัญหาใหญ่ให้สังคมไทย.ทีมข่าวอาชญากรรม