เอเปกเป็นภาพอีกชุดหนึ่งชี้ให้เห็นวิกฤตการณ์การต่างประเทศของไทยศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการระดับแนวหน้าของประเทศไทย ที่สนใจด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ทางทหาร และอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์กิตติคุณ ประจำปีการศึกษา 2564 ขยับมุมคิดถึงการประชุมเวทีระดับโลกที่ใกล้เปิดม่านเวทีผู้นำเศรษฐกิจเอเปก ครั้งที่ 29 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง หรือความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ย.นี้ ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยประเทศ ไทยเป็นเจ้าภาพสมาชิก 21 เขตเศรษฐกิจ ประกอบด้วย มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย ไทยก็เป็นหนึ่งใน 12 เขตเศรษฐกิจผู้ร่วมก่อตั้งตามข้อมูลเว็บไซต์ www.apec2022.go.th ระบุว่า เอเปกมีประชากรรวมกว่า 2,900 ล้านคน ประมาณ 1 ใน 3 ของโลก มีผลิตภัณฑ์มวลรวม หรือจีดีพี ประมาณ 1,700 ล้านล้านบาท เกินครึ่งของจีดีพีโลก มีมูลค่าการค้ารวมกันเกือบครึ่งหนึ่งของการค้าโลกธีมหลักใหญ่ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปก “เปิดกว้าง-สัมพันธ์เชื่อมโยง-สมดุล” ซึ่งสอดคล้องกับสารัตถะ เนื้อหา นโยบายด้านต่างๆในการหารือครั้งนี้โดยจังหวะนี้ภูมิภาคอาเซียนมีการประชุม ที่ทั่วโลกจับตามองถึง 3 เวที ประกอบด้วย การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนซัมมิต 10-13 พ.ย. กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา 15-16 พ.ย. บาหลี อินโดนีเซีย จัดประชุมจี 20 และประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปก กรุงเทพฯ 18-19 พ.ย.ศ.ดร.สุรชาติ บอกว่า ระยะเวลา 3 เวทีกระชั้นกันมาก ผู้นำระดับโลกที่มาอาเซียนซัมมิตอาจไม่ไปบาหลี หรืออาจชวนให้ผู้นำส่วนหนึ่งที่มาอาเซียนซัมมิตแล้วไปต่อที่บาหลี สามารถตีความได้ 2 นัยแต่เวทีที่บาหลีและเวทีที่กรุงเทพฯห่างกันแค่ 1 วัน ผู้นำที่เดินทางมาคงต้องเลือกว่าอยู่เวทีไหนบ้างเชื่อว่าผู้นำระดับโลกคงวางน้ำหนักไว้ที่จี 20 เพราะเป็นเวทีใหญ่ และรัฐบาลไทยคงเชื่อว่าผู้นำอาจไม่ไปอาเซียนซัมมิต แต่ไปจี 20 จบแล้วมาเอเปกขณะเดียวกัน สถานการณ์ในโลกใบใหม่ค่อนข้างเข้มข้น ไม่เอื้อต่อผู้นำระดับโลกออกนอกประเทศได้นาน หรือมองเวทีการประชุมว่า เรื่องสำคัญในเชิงสาระหารือจบที่จี 20 แล้วเดินทางต่อมาที่เอเปกจะมีความหมายอะไร ยกเว้นมาเยือนไทย จุดนี้เล่นกับการตีความเหมือนกัน ไม่รู้รัฐบาลประเทศต่างๆมอง 3 เวทีนี้ อย่างไรมาถึงวันนี้หลายฝ่ายจึงตั้งข้อสังเกตเอเปกที่กรุงเทพฯ เงียบ เพราะขนาดเราอยู่ในประเทศ ไทย ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้นำประเทศไหนมาบ้าง นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ชัดเจนไม่มา นายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย คาดว่าจะมาไหม นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน มาทั้งจี 20 และเอเปก เพราะต้องอาศัยช่องว่างที่ผู้นำชาติตะวันตกไม่มา ก็อยากแสดงบทบาทเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีนตอนนี้กระทรวงการต่างประเทศควรแถลงเป็นทางการว่า ผู้นำประเทศไหนมาบ้าง เพื่อให้สังคมได้รับรู้ ท่ามกลางเสียงบ่นของสังคมที่รู้เกี่ยวกับเอเปกน้อยมาก สารัตถะแทบไม่รู้เราแทบรู้เรื่องเดียว คืองานพิธีการ เช่น อาหาร การเดินทาง การปิดถนน เชื่อว่ารัฐไทย อยากโชว์อาหารเป็นซอฟต์เพาเวอร์ ต่อให้อาหารไทยเมนูเด็ด หรู ก็เป็นซอฟต์เพาเวอร์ไม่ได้ จนกว่าประเทศมีสารัตถะนำเสนอ และเอาอาหารเป็นตัวเชื่อม เปิดภาพพจน์ของประเทศไทยผู้นำและผู้เกี่ยวข้องควรมีหลักคิดว่าซอฟต์เพาเวอร์ แม้เป็นเรื่องใหม่ในทางความคิดบนเวทีโลก แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงรัฐศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ ถกกันมาสักระยะหนึ่งซอฟต์เพาเวอร์เริ่มจากพื้นฐาน “เสน่ห์-แรงจูงใจ” ถ้าไทยไม่มีเสน่ห์และสร้างแรงจูงใจไม่ได้ ต่อให้มีจุดเด่นก็ไปต่อไม่ได้ไม่เหมือนเกาหลีใต้ สร้างเสน่ห์-แรงจูงใจ จนได้ยลโฉมวัฒนธรรมร่วมสมัยเป็นซอฟต์เพาเวอร์ที่ชัดเจนทั้งหมดเกิดจากประชาธิปไตย นิติรัฐ สิทธิมนุษยชน เสถียรภาพรัฐบาลภายใต้กระบวนการรัฐสภาไม่ใช่เสถียรภาพรัฐบาลภายใต้รัฐบาลทหารฉะนั้น สิ่งที่รัฐโฆษณาต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของรัฐ โดยเฉพาะธีมหลัก “เปิดกว้าง-สร้างสัมพันธ์เชื่อมโยง-สมดุล”แต่อีกฝ่ายโต้ว่าไทยกลายเป็น “ปิดแคบ-ไร้สัมพันธ์-ไร้สมดุล” อาทิ ปิดกั้น การชุมนุม รัฐไทยพยายามสร้างพื้นที่เขตกันชน เหมือนเป็นพื้นที่เขตห่วงห้าม ไม่ให้เข้าใกล้ที่ประชุม ถูกวิพากษ์ ไม่สอดรับกับรัฐไทย มันย้อนแย้งตัวเอง เป็นจุดขาย ที่ทำให้ขายไม่ได้ ถ้าโฆษณาแล้วตัวเราไม่เป็นแบบนั้น เหมือนขายสินค้าปลอม...มุขแป้ก!!ฉะนั้น ความหวังว่า เวทีระหว่างประเทศจะเป็นจุดโฆษณาได้นั้น มันไม่ได้คิดมุมเดียว แค่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ แต่จะส่งเสริมภาพของตัวผู้นำคู่ขนานไปผู้นำไทยก็ไม่ชัดที่ได้สร้างบทบาทในเวทีภูมิภาค เวทีระดับโลกอย่างไรที่จะทำให้เอเปกน่าสนใจ วันนี้ความน่าสนใจของเอเปก เมื่อมองผ่านตัวผู้นำ นโยบายในประเทศ มันไม่มีจุดขาย ไม่น่าสนใจผู้นำไม่เคยทำอะไร ไม่เคยมีบทบาท ไม่มีจุดขาย ไม่มีจุดยืนเท่าที่ควรบนเวทีโลก ย่อมคาดหวังว่าผู้นำจะเป็นจุดสนใจในเวทีโลกก็เป็นไปไม่ได้ต้องยอมรับว่าบทบาทจี 20 อินโดนีเซีย ในเวทีระหว่างประเทศ เยอะกว่าไทย แม้กระทั่งบทบาทของกัมพูชาในเวทีภูมิภาคจากปัญหาในเมียนมา ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากฐานะประธานอาเซียน ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายในก็ไม่ค่อยส่งเสริมบทบาทของรัฐไทย เช่น วันนี้พอการเมืองเริ่มมีปัญหา ท่ามกลางกระแสข่าวรัฐประหาร ต่างกับการเมืองในจาการ์ตา อินโดนีเซีย แม้ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง แต่กระแสข่าวรัฐประหารมันหมดไปแล้วในพนมเปญ กัมพูชา ยิ่งเป็นไปไม่ได้สะท้อนการเมืองไร้เสถียรภาพอีกมุมหนึ่งเอเปกไม่ใช่เวทีเศรษฐกิจล้วน ยิ่งภายใต้สงครามยูเครน การแข่งขันรัฐมหาอำนาจบนเวทีโลก เวทีเศรษฐกิจเป็นเวทีการเมืองในตัวเอง สิ่งที่ต้องคิดต่อ คือสาระทางการเมืองจี 20 ชัดเจนเสมือนเป็นเวทีที่ดึงผู้นำโลกมานั่งคุยเพื่อแก้ปัญหาระดับโลก เราไม่เห็นแบบนี้จากรัฐบาลไทย จนถูกตั้งข้อสังเกตเวทีเอเปกมันดูเงียบๆไทยมีภูมิรัฐศาสตร์คล้ายเป็นสมรภูมิประลองยุทธศาสตร์ของ 2 ขั้วมหาอำนาจโลก ประเด็นนี้เกี่ยวโยงกับเวทีเอเปกอย่างไร ศ.ดร.สุรชาติ บอกว่า จุดที่ตั้งภูมิรัฐศาสตร์ของไทยน่าสนใจ เป็นข้อได้เปรียบอีกบทบาทหนึ่งในฐานะสมาชิกเก่าแก่ของอาเซียน และยังเป็นประเทศที่มีพรมแดนยาวมากติดกับเมียนมา ประเทศที่มีวิกฤติใหญ่ที่สุดในอาเซียนแต่ไทยแทบไม่ได้แสดง ออกถึงเจตจำนงในเวทีระหว่างประเทศต่างกับอินโดนีเซีย มีบทบาทน่าสนใจกรณีสงครามยูเครน ทั้งโหวตประณามรัสเซียในเวทีสหประชาชาติ แต่ไทยลงเสียงแบบกระมิด กระเมี้ยน งดออกเสียงไทยเล่นบทเดียวตลอด งดออกเสียงบนเวทีโลกมองว่าการงดออกเสียง ไม่ใช่ความเป็นกลาง แต่ถูกมองว่าเกรงใจจีน แสดงถึงทิศทางนโยบายต่างประเทศเราเดินตามจีน สิ่งที่ไทยคิดกับสิ่งที่โลกมองไม่ตรงกันกรณีอาเซียนก็เห็นผู้นำหลายประเทศโหวตประณามรัสเซีย โดยไม่เกรงใจจีนและรัสเซีย ยกเว้นลาว และเวียดนาม เพราะมีความสัมพันธ์เก่าแก่ช่วงสงครามเย็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้วมองภาพรวมเอเปก สะท้อนวิกฤตการณ์ต่างประเทศของไทยมาตั้งแต่รัฐประหาร โดยเฉพาะรัฐประหารปี 57 ที่รัฐบาลทหารพยายามจัดทิศทางการต่างประเทศของไทยใหม่ทำให้ประเทศไทยไม่มีอำนาจต่อรองบนเวทีโลกทำให้ต้องพึ่งจีน–รัสเซียไม่ให้ถูกชาติตะวันตกกดสุดท้ายเอเปกไม่มีจุดขาย ลดบทบาทรัฐบาลไทย.ทีมการเมือง