นับวันยิ่งน่ากลัวสำหรับ “แชร์ลูกโซ่” ภัยการเงินที่อาศัยความโลภของคนผสมผสานรูปแบบที่ซับซ้อนแนบเนียนหลอกลวง “เหยื่อให้หลงเชื่อ” สร้างความเสียหายต่อคนไทยสูญเงินหมดตัวมามากมายแม้ปัจจุบัน “มีข่าวเตือนภัยธุรกิจแชร์ลูกโซ่เกิดขึ้นทุกวัน” ก็ยังมีผู้ตกเป็นเหยื่อเช่นเดิม โดยเฉพาะ “แชร์ลูกโซ่ออนไลน์” เข้าถึงได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วคลิกหลอกระดมเงินเป็นเครือข่ายแฝงมากับ “ธุรกิจขายตรง หรือชักชวนลงทุนธุรกิจมีกำไรมากกว่าปกติ” เพื่อเป็นแรงจูงใจหาสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆแต่การไม่ตกเป็นเหยื่อนั้นจำต้องรู้เท่าทันกลโกงนี้ “เพจ FIN Talks” ได้เปิดพูดคุยหัวข้อ “Investment scam มั้ย? ลงทุนยังไงอันไหนจริงหรือ หลอก” ในการให้ความรู้ Investment scam คืออะไรอยู่ในการลงทุนสินทรัพย์ใดบ้าง Forex, Crypto, Metaverse หรือหุ้น? สังเกตยังไงว่าจริงหรือหลอก มีกูรูในทุกสินทรัพย์มาให้คำแนะนำครั้งนี้พ.ต.อ.ปองพล เอี่ยมวิจารณ์ กรรมการผู้จัดการ บ.บล็อกเชนไพรมารี่ จำกัด บอกว่า เท่าที่ตาม FOREX 3D รู้สึกเป็นห่วงหลายคนอาจตกเป็นเหยื่อ หรือตกเป็นผู้สมคบคิดแบบไม่รู้ตัว โดยเฉพาะแชร์ลูกโซ่ค่อนข้างดูได้ยากมาก เพราะตามกฎหมายการเข้าข่ายความผิดนั้นต้องมีองค์ประกอบทั้งโฆษณา ประกาศ หรือชักชวนคนอื่น เพื่อเข้ามาร่วมลงทุนด้วยการรับปากจะมีผลตอบแทนสูงกว่าสถาบันการเงินตามกฎหมายจ่ายให้ได้ แล้วคำว่า “แชร์ลูกโซ่” มักเรียกเฉพาะในไทย ส่วนต่างประเทศแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ “Ponzi scheme” เป็นธุรกิจหลอกลวงร่วมลงทุนชวนเชื่อจะได้ผลตอบแทนสูง และ “pyramid scheme” เป็นการหลอกชวนลงทุนต่อกันไปเรื่อยๆทว่ากลไกตามประสบการณ์ที่เคยเจอมานั้น “ดารานักแสดง” มักถูกเชิญเข้าไปร่วมงานเปิดตัวธุรกิจเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นการเปิดตัวธุรกิจแฝง สุดท้ายเข้าข่ายต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดี เพราะมีส่วนช่วยโฆษณา หรือชักชวนบุคคลอื่นเพื่อให้เข้ามาร่วมธุรกิจแชร์ลูกโซ่ จนต้องถูกเชิญมาสอบถามข้อเท็จจริงกันบ่อยๆส่วนลักษณะการร่วมกระทำความผิดนี้ “ต้องนำชื่อเสียงไปช่วยยืนยันต่อการลงทุนธุรกิจนั้น” แต่กรณีดารานักร้องถูกเชิญไปร่วมเปิดตัว หรือนักร้องเพลงในงานอาจยังไม่ถือเป็นการยืนยันว่า “ธุรกิจนั้นเงินดี หรือเป็นธุรกิจถูกต้อง” เว้นแต่คนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญด้วยไอทีถูกเชิญไปร่วมงานโดยจะรู้ หรือไม่รู้ตัวก็ตามย่อมเข้าข่ายร่วมทำความผิดต้องถูกเชิญสอบปากคำ หรืออาจตั้งข้อกล่าวหาตามมาได้ส่วนตัวสมัยเป็นตำรวจนั้น “เคยดำเนินคดีผู้ต้องหาแชร์ลูกโซ่เยอะมาก” ทั้งยังมีดารา นักร้อง นักแสดง ถูกกล่าวอ้างเชิญไปในงานเปิดตัวธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ทำให้ต้องถูกเชิญตัวเข้าสอบปากคำกันหลายคนแล้วบางคนเข้าข่ายการกระทำความผิดโดยที่ไม่รู้ตัวว่า “กำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ” ยิ่งกว่านั้นยังมี “บรรดาอาจารย์มหาวิทยาลัยดังๆ” ก็เข้ามาร่วมลงทุนธุรกิจแชร์ลูกโซ่แล้วใช้ความเป็น “อาจารย์มหาวิทยาลัย” อันเป็นผู้มีความรู้น่าเชื่อชักชวนคนอื่น และขยายเป็นโครงข่าย จนสุดท้ายก็ถูกดำเนินคดีไปก็มีความเสี่ยงต่อมา “โพสต์ หรือแชร์ข้อความธุรกิจแชร์ลูกโซ่ผ่านออนไลน์” ที่อาจไม่มีเจตนาแต่ผู้ใช้โซเซียลฯได้เห็นข้อความแล้วรู้สึกมั่นใจว่า “คนโพสต์มีความน่าเชื่อถือ” ก็อาจตกเป็นผู้ต้องหาได้เหมือนกันย้ำด้วย “ธุรกิจแชร์ลูกโซ่โกงเงินคนอื่น” มักผ่องถ่ายเงินบางส่วน “เปิดธุรกิจบังหน้าเป็นการฟอกเงิน” อย่างเช่นเพื่อนคนหนึ่งทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่โกงเงินคนอื่น “นำมาร่วมหุ้นเปิดบริษัทกับเรา” นั่นก็กลายเป็นว่า “บริษัทนิติบุคคลนั้น” มีส่วนร่วมกระทำความผิดฐานการฟอกเงินแล้วฉะนั้นกรณีนี้ “การลงทุนธุรกิจกับบุคคลใด” ควรตรวจสอบแหล่งที่มาให้ดีว่า “เงินนั้นได้มาจากการกระทำผิดหรือไม่” เพราะมิเช่นนั้นอาจเกิดความเสี่ยงให้ต้องตกเป็นผู้ต้องหาแบบไม่รู้เรื่องได้ด้วยซ้ำถัดมาคือ “พฤติการณ์หลอกลวง” ค่อนข้างมีรูปแบบหลากหลายแตกต่างกันอย่างเช่น “คดีแชร์ลูกโซ่ยูฟันสโตร์” ปรากฏขึ้นครั้งแรกในปี 2012 “เปิดตัว ที่ประเทศฮ่องกง” ใน 1 ปี ชักชวนคนมาร่วมสมัครได้ 800 คน ทำให้อยู่ไม่ได้ ก่อน “ย้ายมาตั้งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย” คราวนี้ได้ผู้สมัครเข้าร่วมลงทุนราว 1,200 คน ครั้งที่ 3 ได้ย้ายมาเปิดสำนักงานใหญ่ที่ถนนบางนาตราด ประเทศไทยได้เพียง 8 เดือน ก็สามารถชักชวนคนไทยเข้ามาสมัครร่วมลงทุนกับธุรกิจยูฟันมากกว่า 12,000 คน กลายเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงคนไทยมักหลอกลวงได้ง่ายกว่าคนต่างชาติ เพราะด้วยอุปนิสัยเชื่อคนง่าย และกล้าเสี่ยงต่อการลงทุนนั้นหนำซ้ำ “ผู้ตกเป็นเหยื่อคดียูฟัน” หลายคนกลับมีประวัติเคยแจ้งความตกเป็นผู้เสียหายคดีแชร์ลูกโซ่อื่นมาก่อนต่อเนื่อง เพราะเขามีคอนเซิร์นว่า “เป็นสมาชิกรุกกอบโกยผลกำไรก่อนแล้วรีบออกไม่เสี่ยงถูกจับดำเนินคดี” แต่ด้วยคดียูฟันปลีกตัวออกไม่ทันเลยต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีตามมาหากว่าตามกฎหมายแล้ว “บุคคลจะเป็นผู้เสียหายนั้นต้องไม่รู้ว่าเป็นธุรกิจปลอมหลอกลวงเอาเงินคนอื่น” แต่กรณีเข้ามาโกยกำไรแล้วรีบออกเร็วนั้น “ไม่นับเป็นเหยื่อ” เพราะมีพฤติกรรมเจตนารับรู้มาแต่ต้นปัญหาคือว่า “กระบวนการธุรกิจแชร์ลูกโซ่ค่อนข้างซับซ้อนแนบเนียน” ทำให้ยากต่อการพิสูจน์ทราบได้ว่า “สิ่งใดจริง หรือเรื่องใดโกหก” อย่างเช่นกรณี “คดียูฟัน” กล่าวอ้างสร้างภาพหลอกนำเงินที่ได้จากคนไทยไปลงทุนซื้อเหมืองทองในจีน พร้อมทั้งถ่ายรูปคนถือป้ายคดียูฟันโชว์ในเหมืองทอง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือแต่เมื่อ “ตำรวจไทยจับกุมทลายเครือข่าย” แล้วทำการสืบสวนสอบสวนพบว่า “คนเหล่านั้นไปเที่ยวเหมืองทองถ่ายรูปโชว์เท่านั้น” เช่นเดียวกับ “การทำธุรกิจเหมืองแร่นิเกิลในอินโดนีเซีย” ก็แอบอ้างกันทั้งสิ้น แล้วยิ่งกว่านั้น “ผู้ตรวจสอบบัญชี” กลับสมคบคิดตกแต่งบัญชีรายได้จาก 4 หมื่นล้านบาท เหลือ 4 แสนกว่าบาทตอกย้ำสมัยเป็น “รองโฆษก ตร.” เคยมีผู้เสียหายร้องเรียน “กรณีตำรวจไม่รับแจ้งความคดีแชร์ลูกโซ่” ทำให้ตำรวจบางคนเปิดรับทำคดีเองปรากฏว่า “ตีกินเรียกรับเงินจากคนร้าย” แล้วมาแจ้งผู้เสียหายอาจต้องถูกจับดำเนินด้วย เพราะชักชวนคนอื่นเช่นกัน จนเกิดกลัวไม่กล้าแจ้งความ ทำให้ผู้กระทำผิดไม่ถูกดำเนินคดีปัจจุบันนี้โชคดี “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” เคลื่อนไหวปราบปรามขบวนการแชร์ลูกโซ่เต็มที่อย่างมีประสิทธิภาพสูง “สามารถติดตามจับผู้กระทำความผิดต่อเนื่อง” แต่กรณี “ผู้เสียหาย” มักมีโอกาสได้เงินคืนค่อนข้างยาก เพราะทรัพย์สินที่คนร้ายโกงไปนั้นถูกผ่องถ่ายโอนไปต่างประเทศเป็นหลักจนหมดส่วนที่เหลือในประเทศเป็นทรัพย์สินประเภททองคำ รถยนต์ บ้าน ได้จากการโกงผู้เสียหายนั้น “ตำรวจ” ทำการตรวจยึดเข้าสู่กระบวนการขายทอดตลาดเฉลี่ยคืนผู้เสียหายที่แจ้งความเท่านั้น ฉะนั้นแนะนำผู้เสียหายคดีแชร์ลูกโซ่ควรแจ้งความ ไม่ว่าจะชักชวนคนอื่น หรือไม่ชักชวนก็ตาม แล้วค่อยไปพิสูจน์ความบริสุทธิ์กัน เช่นเดียวกับ ศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ ผู้ก่อตั้ง Bitcast นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย บอกว่า การหลอกให้ลงทุน Investment Scam เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเพียงแต่ “รูปแบบเปลี่ยนไปตามยุคสมัย” ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องค้นหาคือ “แหล่งที่มาของรายได้ธุรกิจหลอกลวงมาจากที่ใด?” อันจะเป็นเครื่องมือช่วยป้องกันได้ดีที่สุดส่วนใหญ่แล้ว “ธุรกิจแชร์ลูกโซ่” มักไม่เกิดกิจกรรมลักษณะที่มาของรายได้นั้นจริงๆ “แต่เป็นการเอาเงินของคนเข้ามาทีหลังนำมาจ่ายให้กับคนแรก” อันเป็นหลักโครงสร้างของกระบวนการแชร์ลูกโซ่ที่ทำกันอยู่หากย้อนดูกรณี “แชร์ลูกโซ่ดังๆ” อย่างยูทูบเบอร์ “นัตตี้” ถูกกล่าวหาว่าโกงเทรด “อันเป็นแชร์ลูกโซ่แบบเดิม” อาศัยสิ่งบางอย่างมาหลอกให้คนเกิดความโลภอยากได้เงินรวยเร็วๆ ทั้งมีข้อสังเกตต่อว่า “ขบวนการแชร์ลูกโซ่” มักพูดคุยผ่านโซเซียลฯในห้องปิด ทำตัวลับๆล่อๆ ไม่เปิดเผยให้คนอื่นได้เห็นมาก เพราะกลัวถูกจับผิด ฉะนั้นแม้กาลเวลาเปลี่ยนไป “คนยังมีความโลภ” ทำให้มิจฉาชีพเข้าใจจุดนี้ดีแล้วเปลี่ยนรูปแบบและเครื่องมือให้สอดรับยุคสมัย “หลอกเหยื่อได้ง่ายเหมือนเดิม” อย่างเช่นสมัยก่อน “แก๊งตกทอง” สร้างเหตุการณ์ทำทองตกมีคนเก็บได้ต้องการขายให้เหยื่อราคาถูกเร่งด่วน แล้วให้ตัดสินใจแบบเร็วๆ มักส่งผลให้คนมีสติลดลงเสมอฉะนั้นเมื่อเจอ “ภัยแชร์ลูกโซ่” ควรต้องมีสติท่องคาถาสำคัญคือ “ไม่โลภ ไม่หูเบา ไม่ใจร้อน ไม่หลงเชื่อ” แล้วก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกได้ง่ายอีกต่อไป.