“เยอรมนี...วันเดียวมีผู้ป่วยต้องเข้าไอซียูเพิ่ม 235 คน ดังนั้นคนไทยเราจึงควรตั้งการ์ดให้มั่นคงครับ”รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ บอกอีกว่า “โควิด” กับ “ไข้หวัดใหญ่” ติดคู่กันจะเสี่ยงเสียชีวิตมากขึ้น ข้อมูลล่าสุดจาก UK HSA ชี้ให้เห็นข้อควรระวังสำคัญดังนี้...หนึ่ง ผู้ป่วยที่ติดเชื้อโรคโควิด–19 พร้อมกับไข้หวัดใหญ่ จะเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากขึ้น 2.35 เท่าสอง...การระบาดระลอกล่าสุดที่สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญอยู่นั้น กลุ่มผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่มีอัตราการติดเชื้อสูงกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ ทั้งนี้ น่าจะมาจากระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงเร็วกว่าวัยหนุ่มสาว ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ป่วย และเสียชีวิตได้อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่มีอัตราติดเชื้อสูงรองลงมา ได้แก่ กลุ่ม วัยทำงานตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป วัยรุ่นและวัยทำงานตอนต้น ตามลำดับ“สิ่งที่เราเรียนรู้และควรปฏิบัติคือ การไปรับวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นให้ครบถ้วนตามเวลาที่กำหนดและควรไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง...การเตรียมพร้อมตนเองจะเกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม” “การใช้ชีวิตประจำวัน” ควรป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ ใส่หน้ากาก อย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มากสะท้อนภาพรวม “โอมิครอน” ทั่วโลก Kerkhove MV จาก องค์การอนามัยโลกให้ข้อมูลล่าสุดว่า ปัจจุบันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนนั้นครองการระบาดทั่วโลก โดยมีลูกหลานมากกว่า 300 สายพันธุ์ ย่อย ในจำนวนนี้มีถึง 76% ที่สืบเชื้อสายมาจากสายพันธุ์ย่อย BA.5หนึ่งในมิติสำคัญที่น่าสนใจ คือ “การติดเชื้อโควิด–19 ในสตรีตั้งครรภ์”US CDC ได้เผยแพร่ข้อมูลวิชาการที่ทำการทบทวนอย่างเป็นระบบ (19 ตุลาคม 2565) พบว่าสตรีที่ตั้งครรภ์และติดเชื้อโรคโควิด-19 นั้น จะมีความเสี่ยงทั้งต่อตนเองและทารกในครรภ์โดยมีความเสี่ยงต่อสตรีที่ตั้งครรภ์ เริ่มจาก...เสียชีวิตจากสาเหตุต่างๆสูงกว่าคนไม่ติดเชื้อ 6 เท่า ถัดมา...คลอดก่อนกำหนด (น้อยกว่า 37 สัปดาห์) 1.6 เท่า...ส่วนความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ ได้แก่ ทารกเสียชีวิตในครรภ์ (ตายคลอด) 1.8 เท่า, ทารกแรกเกิดเสียชีวิต ใน 28 วันหลังคลอด 2.35 เท่า, ภาวะที่ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการขาดออกซิเจน (Fetal distress) 2.2 เท่าดังนั้น คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์จึงควรป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด ระมัดระวังเวลาใช้ชีวิตประจำวัน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง สถานที่เสี่ยง รวมถึงกิจกรรมเสี่ยงต่างๆ...การฉีดวัคซีนจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้ และได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความปลอดภัยตอกย้ำสำหรับทุกคน “การใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง เป็นกิจวัตร จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก ความเสี่ยงในการติดเชื้อแพร่เชื้อ ภายใต้สภาพแวดล้อมทางสังคมปัจจุบันนั้น มีเพียงการตัดสินใจปฏิบัติตัวของแต่ละคนเท่านั้นที่จะเป็นตัวกำหนด...ทางที่ตัดสินใจปฏิบัติเป็นทางที่เราเลือกที่จะเผชิญเอง”ช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายประเทศของเอเชีย เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฮ่องกง มีจำนวนติดเชื้อรายวันสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยการระบาดหนักของสายพันธุ์ “XBB” ในสิงคโปร์นั้น ...ทำให้มีจำนวนการติดเชื้อรายวันสูงถึง 12,000 คนไปแล้วบางประเทศในทวีปยุโรปยังเป็นขาขึ้น เช่น สวิส ในขณะที่ ประเทศที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้เริ่มชะลอตัวลง อาทิ เยอรมนี ออสเตรีย ...แรงกระเพื่อมจากระลอกล่าสุดของยุโรปและบางประเทศในเอเชียน่าจะส่งผลต่อประเทศอื่นๆตามมา อันเป็นผลมาจากทั้ง BA.5.x เดิม และสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์อย่าง BQ.1.1, XBB และอื่นๆ“BA.5” นั้นทำให้ป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่า BA.2 งานวิจัยล่าสุดจากเดนมาร์ก โดย Hansen CH และคณะ ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์โรคติดเชื้อ The Lancet Infectious Diseases (18 ตุลาคม 2565) ชี้ให้เห็นว่าคนที่ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.5 เสี่ยงต่อการป่วยจนต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลมากกว่า BA.2 ราว 1.34 เท่าย้ำว่า...ด้วยสถานการณ์ข้างต้นที่ว่ามานี้ การใช้ชีวิตประจำวันจำเป็นต้องป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ ใส่หน้ากากอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มากอีกทั้งยังมีข้อมูลด้วยว่า “ฟิลิปปินส์”...มีการระบาดทั้ง XBB และ XBC โดยสายพันธุ์ XBC เสียชีวิตไป 5 ราย...คนไทยเราควรป้องกันให้ดี ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ใส่หน้ากากเสมอ จดจำบทเรียนสองปีที่ผ่านมา ต้องรู้ว่า “กระจอก เอาอยู่ เพียงพอ ไม่ปกปิด” นั้น ทำให้ เกิดอะไรขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมาเปิดบันทึกการระบาดไวรัส “โควิด–19” 21 ตุลาคม 2565 เมื่อวาน ทั่วโลกติดเพิ่ม 279,217 คน ตายเพิ่ม 747 คน รวมแล้วติดไป 631,809,778 คน เสียชีวิตรวม 6,578,102 คน5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ ฝรั่งเศส อิตาลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 8 ใน 10 อันดับแรก และ 17 ใน 20 อันดับแรกของโลก...ซึ่งจำนวนติดเชื้อใหม่ ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 91.15 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็น ร้อยละ 80.85ประเด็นน่าสนใจมีอีกว่าไวรัสสายพันธุ์ “XBB” นั้นแพร่ไปแล้ว 26 ประเทศในรายงานขององค์การอนามัยโลก WHO Weekly Epidemio logical Update เมื่อสองวันก่อน ระบุไว้ว่า “โอมิครอน” ยังครอง การระบาดทั่วโลกกว่า 99.7% ทั้งนี้ สายพันธุ์ย่อย BA.5 ยังมีสัดส่วนสูงสุด 78.9%อย่างไรก็ตาม พบว่าสายพันธุ์ย่อย XBB ซึ่งเกิดจากการผสมกันระหว่าง BA.2.10.1 และ BA.2.75 นั้น ได้มีการแพร่ระบาด ไปแล้วอย่างน้อย 26 ประเทศทั่วโลก ที่สำคัญคือ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า XBB นี้เป็นสายพันธุ์ที่ต้องระวัง เพราะดื้อต่อภูมิคุ้มกันมากกว่าทุกสายพันธุ์ของไวรัสโรคโควิด-19 เท่าที่เคยมีมารศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ มองว่า โดยหลักการแล้ว คาดว่าปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อลักษณะการระบาดในแต่ละประเทศ ไม่ใช่เรื่องสายพันธุ์ของไวรัสเท่านั้น แต่จะเป็นเรื่องภาพรวมของการควบคุมป้องกัน โรคของประเทศนั้น ตั้งแต่ระบบเฝ้าระวังว่าเข้มข้นหรือหละหลวมนับรวมไปถึงการรายงานสถานการณ์จริงให้แก่ประชาชนในสังคมได้ทราบอย่างละเอียดและทันต่อเวลา หรือจะเปิดเท่าที่อยากเปิด เปิดยามที่อยากเปิด...การรับรู้อันตรายและความเสี่ยงของประชาชน อันเป็นผลจากนโยบาย มาตรการของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบว่าเน้นปกป้องและเห็นคุณค่าของสุขภาพ...ชีวิตคนหรือไม่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องที่สำคัญที่สุดคือ “ความใส่ใจสุขภาพของประชาชนแต่ละคนแต่ละครอบครัวในการป้องกันตัวระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน ใช้ชีวิตอย่างมีสติ รอบคอบ ระมัดระวัง และใส่หน้ากากอย่างถูกต้อง จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้มาก”.