วันนี้ หากใช้ระบบการ Search ในกูเกิล เชื่อว่าคำที่ถูกค้นหาและพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้คงหนีไม่พ้นคำว่า Soft Power ซึ่งหลายประเทศพยายามที่จะพัฒนาให้มีความเข้มแข็ง นำไปสู่การเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจการจัดอันดับของ Global Soft Power Index ในปี 2022 พบว่า สหรัฐอเมริกายังคงครองแชมป์อันดับหนึ่ง ตามด้วยอังกฤษและเยอรมนี ส่วนเกาหลี หรืออินเดียที่หลายคนคิดว่าน่าจะติด 1 ใน 10 กลับไม่ใช่ โดย Soft Power ของเกาหลีอยู่ที่อันดับ 12 ส่วนอินเดียอยู่อันดับ 29 และไทยอยู่ในอันดับที่ 35ถึงแม้ว่าจะไม่ติด 1 ใน 10 แต่เกาหลีก็เป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีความโดดเด่นในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้าน Soft Power ที่ประกอบด้วย สหรัฐ อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และ เกาหลี สำหรับ อเมริกา ไม่ต้องพูดถึงก็รู้ว่ากลยุทธ์ในการขับเคลื่อนพลังอำนาจอ่อน คือการใช้วัฒนธรรม American Pop Culture ผ่านศิลปะ ดนตรี ภาพยนตร์ แฟชั่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่าง Hollywood ที่สามารถสร้างกระแสความนิยมในการสอดแทรกแฟชั่น สินค้า แนวคิดให้กับคนทั้งโลกได้อย่างแนบเนียน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ภาพยนตร์ในแนวซุปเปอร์ฮีโร่ เข้าไปครองใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสไปเดอร์แมน, เอ็กซ์เมน (X-Men), เดอะ ฮัลค์ (The Hulk) หรือขบวนการ Marvel อย่างกัปตันอเมริกา ไอรอนแมน ยังไม่รวมบรรดาเจ้าหญิงในจินตนาการของเด็กๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเอลซ่า แอนนา ลาพันเซล หรือนิยายยุคเก่าอย่างซินเดอเรลล่า หรือสโนว์ไวท์ เหล่านี้ล้วนเป็นซอฟต์ เพาเวอร์ ที่อเมริกันสอดแทรกในภาพยนตร์และขายไปทั่วโลกยังไม่รวมดนตรีอเมริกันอย่างร็อก แอนด์ โรล ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุค 1940-1950 ที่มีสไตล์ ไอคอน ที่โดดเด่น ตัวอย่างเช่น เอลวิส เพรสลีย์ ที่มีอิทธิพลด้านการแต่งกายและทรงผมให้ผู้คนเลียนแบบกันแทบจะทั้งโลกในยุคนั้น ตามด้วยศิลปินดังอย่างไมเคิล แจ็คสัน, มาร์ดอนนา, เลดี้ กาก้า ในยุคต่อๆมา และแม้แต่การศึกษาและนวัตกรรม อเมริกาก็ถือเป็นผู้นำในอำนาจละมุนด้านนี้อย่างแท้จริง จากแบรนด์สินค้านวัตกรรมอย่าง Apple, Google, Microsoft และล่าสุด Metaverse นวัตกรรมสุดล้ำจาก Facebook ที่ทำเอาทั้งโลกต้องตะเกียกตะกายไล่ล่าอนาคตกันเป็นแถวส่วน อังกฤษ ก็ไม่แพ้กันเท่าไหร่ เป็นที่ทราบกันดีว่าอังกฤษเป็นเจ้าของระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลกซึ่งก็ถือเป็น Soft Power ที่แข็งแรงที่สุด มหาวิทยาลัยในอังกฤษหลายแห่ง เมื่อเอ่ยชื่อแบรนด์การศึกษาชั้นนำของโลกคือสิ่งที่ผู้คนคิดถึงเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ หรือในระดับมัธยมอย่าง Harrow School หรือ Eton College ยังไม่รวมวรรณกรรมอมตะของนักเขียนชื่อก้องโลกอย่างวิลเลียม เชคสเปียร์ จนมาถึง เจ.เค โรลลิ่ง ที่สร้างตัวละครอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ เข้าไปอยู่ในใจคนทั้งโลกได้ หรือแม้แต่ Brit Pop หรือ UK Pop ก็เป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จัก เดอะบีทเทิล, สไปซ์ เกิล, เอลตัน จอห์น จนมาถึง Ed Sheeran ในยุคปัจจุบัน ส่วน ฝรั่งเศส ซึ่งครองอันดับ 3 ของความโดดเด่นด้านกลยุทธ์ ซอฟต์ เพาเวอร์ ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าอาหารฝรั่งเศสได้รับการยกย่องในฐานะสุดยอดแห่งศาสตร์อาหารโลก เทคนิคการปรุงอาหารฝรั่งเศสมีอิทธิพลอย่างมากต่อแวดวงอาหารโลก จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่สำคัญของโลก โดยมีสถาบันชื่อดังอย่าง Le Cordon Bleu เป็นแบรนด์สำคัญในด้านการถ่ายทอดศาสตร์การปรุงอาหารฝรั่งเศสจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล รวมไปถึงหนังสือปกแดง มิชิลิน ไกด์ ที่เริ่มต้นโดยบริษัทยางรถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส มานานนับร้อยปี อีกประเทศที่น่าสนใจคือ ญี่ปุ่น ที่สร้างตัวตนโดยการเป็นต้นแบบของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยใช้นโยบายส่งเสริมการเป็นผู้สนับสนุนประชาธิปไตย ผ่านโครงการและความช่วยเหลือของ Japan International Cooperation Agency หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของไจก้า และล่าสุดนโยบาย Cool Japan ที่เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆในญี่ปุ่น ถึงขนาดที่มีการตั้งรัฐมนตรียุทธศาสตร์ Cool Japan เพื่อขยายการบริโภคสินค้าและบริการของประเทศญี่ปุ่น การสร้างตัวละครมังงะในการ์ตูนญี่ปุ่นตั้งแต่โดราเอมอน มาจนถึง One piece หรือ Hello Kitty สไตล์คิกขุ และถ้าใครเป็นแฟนคลับสตรีมมิง Netflix น่าจะได้เห็นซีรีส์ญี่ปุ่นที่แนะนำการทำอาหารอย่าง Tokyu Story : Midnight Diner หรืออิซากายะ และอีกหลายๆเรื่องที่วางพล็อตเรื่องง่ายๆแต่ทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่น่าค้นหามากขึ้น ปิดท้ายกันที่เกาหลี กระแส K-Pop Fever และการสรรค์สร้างงานผ่านอุตสาหกรรมบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์ ดนตรี ทำให้เกาหลีกลายเป็นขวัญใจคนทั่วโลกในเวลาไม่นาน อาหารเกาหลีที่คนไทยแห่กินตามโอปป้า จากการติด K-Series อย่างงอมแงม หรือการเป็น FC ของดาราวัยรุ่นเกาหลีที่ส่งผลให้เครื่องสำอาง โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้า ไปจนถึงสินค้าต่างๆของเกาหลีกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในเรื่องราวของ Soft Power ในโลกยุคใหม่ ที่สงครามกลายเป็นเรื่องล้าหลัง น่าหวาดกลัว แต่การดึงใจคนทั้งโลกให้รู้จักตัวตนของประเทศตนเองผ่านพลังอำนาจอย่างอ่อน นี่ต่างหากที่สามารถโน้มน้าวคนทั้งโลกให้มีสันติสุขร่วมกันได้อย่างแท้จริง.