มหากาพย์คดีการตายของดาราสาว แตงโม-ภัทรธิดา หรือ นิดา พัชรวีระพงษ์ พิสูจน์บทเรียนจาก “กระแสโซเชียลมีเดีย” ที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.นำมาเปรียบเทียบคดีฆาตกรรมแหม่มสาวชาวอังกฤษ พร้อมเพื่อนชาย 2 ศพบนเกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อหลายปีก่อนสังคมตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานของตำรวจว่า ไม่ถูกต้อง ช่วยเหลือผู้กระทำความผิดมี นักนิติวิทยาศาสตร์บางคน ออกมาแสดงความเห็นออกสื่อหักล้างพยานหลักฐานในคดีจนพากันไขว้เขว“ชี้นำ” ผลชันสูตรของตำรวจรีบด่วนสรุป อ้างผลการตรวจ “ดีเอ็นเอ” ที่ไม่รอบคอบก่อนเสนอตัวขึ้นสืบพยาน ศาลเกาะสมุยเป็น “พยานฝ่ายจำเลย”สู้คดีกันถึงชั้นศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ให้ประหารชีวิต 2 ผู้ต้องหาชาวเมียนมา หลังพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้มีพยานหลักฐานรวมทั้งผลพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ การตรวจสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ตรงกับจำเลยขณะที่คดีเกี่ยวกับการกระทำต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศ มีการตั้งคณะพนักงานสอบสวนเฉพาะกิจขึ้นมา โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ควบคุมใกล้ชิดไม่เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสร้างพยานหลักฐานเท็จเพื่อปรักปรำจำเลย เพราะในการสอบสวนต้องใช้เวลา บุคลากรจำนวนมาก รวมทั้งงบประมาณ หากจะสร้างพยานหลักฐานคงไม่ต้องให้สิ้นเปลืองทั้งบุคลากรและงบประมาณ รับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยข้อฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้นผ่านไปหลายปี นักนิติวิทยาศาสตร์พยานจำเลยรายนี้ ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมประโคมความเห็นใน “ทัศนคติเชิงลบ” สวนการทำงานของตำรวจกับ “คดีแตงโม” เหมือนเคยลืมเรื่องราวความรับผิดชอบในสิ่งที่ใช้น้ำลายทำลายคดีเกาะเต่า.สหบาท