ขอทำเมืองหลวงให้เจริญทัดเทียมกับมหานครทั่วโลก “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 11 พรรคไทยสร้างไทย ชี้ให้เห็นโฉมหน้ากรุงเทพฯ ในอนาคต ผ่านการหล่อหลอมประสบการณ์การบริหารของตัวเอง และทีมงาน ซึ่งจะเข้ามาจัดการสะสางปัญหาให้ชาว กทม. ผ่านนโยบายต่างๆที่รณรงค์หาเสียงสมัยเป็นประธานคณะกรรมการบริษัท ทอท.มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ อาทิ นำที่รกร้างว่างเปล่า ไร้ประโยชน์ มาทำสนามจักรยานสุวรรณภูมิ โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐมูลค่า 2 พันกว่าล้าน มีเอกชนมาทำให้ เป็นการเปิดประตูให้คนไทยเข้าไปปั่นเกิน 1 ล้านครั้ง ตอนนี้กลายเป็นสนามจักรยานที่ดีเป็นอันดับหนึ่งของโลกหากเป็นผู้ว่าฯ กทม. สามารถทำโปรเจกต์ได้มากกว่านี้ 10 เท่าเพราะศักยภาพของ กทม.ต่างกับ ทอท. ฉะนั้นนโยบายต่างๆที่ดูเหมือนกับผู้สมัครคนอื่นๆ แต่ที่แตกต่างคือ การบริหารจัดการให้สำเร็จตามธงที่ปักไว้ ในการพูดคุยครั้งนี้เน้นปัญหาที่ชาว กทม. อยากให้สะสาง อาทิ แก้ปัญหาน้ำท่วม ทำได้ทันที ไม่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติม ปัญหารถติด แก้ยากมาก แต่เรามีวิธีจัดการ แก้ทั้งระบบ ปัญหาเพิ่มพื้นที่สีเขียว ก็จัดการได้เพื่อให้คุณภาพชีวิตที่ดีเกิดขึ้นกับคนกรุงพร้อมขยายความการแก้ปัญหาขยะ วันก่อนไปดูโรงขยะที่อ่อนนุช ยุค 30-50 ปีก่อนจุดนี้เป็นชานเมือง เมืองขยายพัฒนาเกินพื้นที่อ่อนนุช แล้วทำไมโรงขยะยังตั้งอยู่บนพื้นที่ 500-600 ไร่แค่ย้ายออกไปโดยไม่ต้องสร้างโรงขยะใหม่ และปรับเป็นสวนสาธารณะดีกว่าไหมการกำจัดขยะต้องเขย่าเชิงโครงสร้างซึ่งก็ได้อธิบายละเอียดยิบให้เห็นภาพถึงปริมาณขยะใน กทม.แต่ละวันมหาศาล ต้นทุนการจัดเก็บ ผลการขาดทุนแต่ละปีของ กทม.หากทำตามนโยบายแก้ปัญหาขยะ เริ่มตั้งแต่กระบวนการคัดแยกที่เพิ่มมูลค่า พร้อมเก็บให้ฟรี คิดดีๆ อาจแถมตังค์ให้ด้วย แต่ถ้ายังทิ้งกันไปหรือเรียกว่าขยะมักง่าย ก็จำเป็นต้องเก็บเงินเพิ่มหรือชาร์จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อค่อยๆเสริมสร้างวินัยการทิ้งขยะการกำจัดขยะก็เปิดให้เอกชนเข้ามาจัดการ ทำไม กทม. ต้องไปลงทุนเอง ทุกวันนี้ค่าขนขยะตันละ 900 บาท ผมได้คุยกับเอกชนก็บอกว่า “ขยะมันมีค่า”ฉะนั้น 400-500 บาทต่อตัน เอกชนก็ขนให้แล้ว ค่าน้ำมันอาจถึง 2 พันบาท แต่มูลค่าขยะมันมหาศาล เอกชนยอมจ่ายตังค์ซื้อขยะ กทม. ยิ่งแยกคัดมา มูลค่าก็เพิ่มหลายเท่าตัวสุดท้ายจะเป็นเหมือนญี่ปุ่น ขยะที่คัดแยกอย่างดี ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยมาก ขนาดโรงงานไฟฟ้าอยู่ใจกลางเมือง เผาขยะไม่ส่งกลิ่นเหม็นเลยบริหารจัดการดีมีเงินเหลือเข้า กทม. 1-2 พันล้านบาท ปัญหานี้เหมือนเส้นผมบังภูเขา เป็นสิ่งที่คิดกันไม่ออกหรือแกล้งไม่รู้ เพื่อละลายงบประมาณปีละเกือบ 7 พันล้านบาทปัญหาน้ำท่วมก็เช่นกัน กทม. ลงทุนไปกับเรื่องนี้นับแสนล้านบาทแล้ว แต่ยังไม่สะเด็ดน้ำ วิธีการจัดการโดยไม่ต้องใช้งบประมาณ ให้รวมคลองใน กทม. รวมยาวกว่า 2 พันกิโลเมตร เพื่อใช้คลองให้เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการระบายน้ำ สัญจร ใช้ในการเกษตร ลองคิดหน้าตักเฉลี่ยของคลอง เท่ากับ กทม. มีที่ว่างอยู่ต่ำกว่าระดับถนนอยู่แล้วเยอะมาก และตามธรรมชาติน้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ระบบระบายน้ำจากถนนลงท่อระบายน้ำ ลงคลอง ไหลลงแม่น้ำอุตุฯเตือน พร่องน้ำในคลอง ไม่ต้องทำแก้มลิงเลือกตั้ง ฤดูฝนมา ผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ขอเวลา 7 วัน จัดการเรื่องน้ำ วันแรกรับรองจัดการทดสอบระบบระบายน้ำทั่ว กทม. รับมือน้ำทะเลหนุน น้ำเหนือ และฝนตกใน กทม.รับรองน้ำไม่ท่วม กทม.สามารถดูแลได้...จบถ้าพื้นที่ไหน กทม. เอาไม่อยู่จริงๆ ก็แจ้งชาว กทม. ทั้งพื้นที่เกษตร ใช้สัญจรทางเรือ ผมเชื่อว่าประชาชนเข้าใจ ทุกประเทศก็ทำกันแบบนี้เฉกเช่นปัญหารถติด ต้องยอมรับว่าเกินขีดความสามารถของ กทม. แม้มีวิธีแก้ได้หลายวิธี แต่ที่แก้ได้ทันทีต้องมีการจราจรอย่างอื่นมาทดแทนรถยนต์ และคนสัมผัสได้ถึงความสะดวก ดีกว่า ถูกว่าโดยต้องบริหารจัดการให้ดี เจรจากับเอกชน ประสานกับรัฐบาล เพื่อให้ค่ารถไฟฟ้าไม่ควรเกิน 15% ของรายได้เฉลี่ย สมมติรายได้ 1-1.5 หมื่นบาท ค่าโดยสารรถไฟฟ้าต่อเดือนต้องไม่เกิน 2 พันบาท ปัญหานี้แก้ได้ แต่ต้องใช้เวลาโดยนำข้อดีของสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน สวิตเซอร์แลนด์ หรือประเทศอื่น มาเป็นแบบอย่างและพัฒนาให้เข้ากับวิถีชีวิตแบบไทยๆไม่ใช้งบประมาณที่ฟุ่มเฟือยเมื่อประหยัดงบประมาณได้เยอะขนาดนี้ ก็นำงบประมาณไปพัฒนาพื้นที่สีเขียวให้ชาว กทม.อย่างน้อย 5 พันกว่าล้านบาท กระจายไป 50 เขต เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ชาวกรุงเทพฯขอย้ำว่าทุกนโยบายทำได้จริง และต้องได้รับความร่วมมือกับชาว กทม. โดยแยกนโยบายเป็น 3 P ทั้ง People สร้างเมืองแห่งโอกาสให้ชาวกรุงเทพฯ ประชาชนคือผู้สร้างเมือง ไม่เชื่อว่าจะมีซุปเปอร์ฮีโร่จากไหนมาสร้าง กทม. สร้างคน-การศึกษา-คนมีส่วนร่วมกับเมือง Profit สร้างมหานครแห่งความมั่งคั่ง สร้างงาน แก้ปัญหาปากท้อง หาบเร่แผงลอย สนับสนุนคนยากจนให้ดี ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ Planet สร้างคุณภาพชีวิตคนกรุงเทพฯอย่างยั่งยืนนำเครื่องมือบล็อกเชนเข้ามาช่วยส่วนการประกาศ “ทุบหม้อข้าว” นั้น ต้องการชี้ให้เห็นว่าองค์กร กทม. มีความโปร่งใส อย่างการตั้งกรุงเทพธนาคม มีวัตถุประสงค์ลดขั้นตอนการบริหารของ กทม.ให้คล่องตัวกลับถูกมองว่าเป็นแดนสนธยา ไม่มีความโปร่งใสเป็นกล่องซ่อนเงินของ กทม. ทุกคนมันต้องกล้าทุบหม้อข้าวของตัวเองที่ทำไม่ถูกต้อง ผู้ว่าฯ กทม.ต้องทำกรุงเทพธนาคม ควรไปเชิญ ป.ป.ช. มาเป็นคนคอยตีมือคนที่จะทุจริต ทำแบบนี้ได้ กทม.ก็พัฒนาไปอีกไกลตรงนี้เป็นสิ่งที่บอกว่าต้องทุบหม้อข้าวขอประกาศทำในสิ่งที่ผู้ว่าฯ กทม.ไม่เคยทำแต่การวิ่งเข้าเส้นชัย ตอนนี้ต้องทำงานหนักมาก โหมลงพื้นที่อย่างหนัก เพราะเปิดตัวทีหลังคนอื่น ยิ่งดูจากผลสำรวจโพลตอนเปิดตัว พบว่ามีประมาณ 30% ยังไม่ตัดสินใจเลือกใครในส่วนนี้เป็นสิ่งที่เราไปแชร์ได้ง่ายที่สุด แต่อีก 70% เขาตกลงปลงใจกับคนอื่นไปแล้ว ถ้าจะให้เปลี่ยนใจมาเลือกเราถือว่ายากจังหวะนี้ขอแข่งกับเวลาที่งวดเข้ามาเรื่อยๆ“ผมเชื่อว่าประชาชนเข้าใจที่เราเป็นพรรคการเมืองเปิดใหม่ ยังไม่มี ส.ส. แต่บุคลากรในพรรค นำโดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มีประสบการณ์ทางการเมือง 30 ปี เสนอต้นเสมอปลาย ลงพื้นที่ไม่เคยขาดแม้มีการถามว่าลงผู้ว่าฯ หวังผลการเมืองใหญ่หรือเปล่า ก็ต้องตอบตรงๆ ว่ามันก็ครึ่งๆ ถ้าชาว กทม.ไว้วางใจก็เข้าไปบริหาร กทม. หากพลาดท่าก็ทำการเมืองใหญ่ผู้ว่าฯ กทม. คนไหนอยากนำนโยบายไปใช้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ เอากระบวนการแก้น้ำท่วมไปได้ทันที ขอให้ไปช่วยก็ยินดี ไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องให้ตำแหน่งในฐานะพรรคไทยสร้างไทย ถ้าได้เป็นรัฐบาล กำกับดูแลกระทรวงมหาดไทย-กทม. ก็สนับสนุนให้ผู้ว่าฯ กทม. ได้ทำงานในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ที่จะมาจ่ายเงินทำโครงการขนาดใหญ่ มันไม่ต้อง ขอให้ดูข้อเท็จจริงก็พอแล้ว”โค้งสุดท้ายเตรียมวางกลยุทธ์อย่างไร เพื่อเดินหน้าไปให้ถึงเก้าอี้ผู้ว่าฯ เสาชิงช้า น.ต.ศิธา บอกว่า ขอโฟกัสนโยบายให้ครบเข้าถึงชาว กทม. ให้มากที่สุดฉะนั้นในช่วงเวลาที่เหลือไม่สามารถผิดพลาดอะไรได้อีกแล้วขอทำดีที่สุด บรรทัดสุดท้ายของผมไม่ได้อยู่ที่แพ้หรือชนะแต่ขอมุ่งมั่นทำให้เป็นพรรคที่เป็นประโยชน์ต่อ กทม. และประเทศ.ทีมการเมือง