ทั่วโลกต้องสะเทือนเมื่อ “รัสเซีย เปิดฉากทางทหารโจมตียูเครน” ด้วยปฏิบัติการปิดล้อมระดมยิงปืนใหญ่ และจรวดขีปนาวุธปูพรมทำลายฐานทัพ สนามบิน คลังแสง แล้วเคลื่อนพล ยานเกราะบีบทุกทิศทางตั้งแต่เหนือ ใต้ ตะวันออก กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบปะทะกันอย่างดุเดือดหลายวันมานี้ทำให้สถานการณ์เลวร้ายอย่างรวดเร็ว “ประชาชนหนีตายจ้าละหวั่นโกลาหลกันทั่วประเทศ” นับแต่ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ประธานาธิบดีรัสเซีย ลงนามรับรองสถานะความเป็นรัฐอิสระในพื้นที่โดเนตสก์-ลูฮันสก์ในภูมิภาคดอนบัสของยูเครนได้แยกตัวออกมาจากการควบคุมของรัฐบาลยูเครนมาตั้งแต่เมื่อปี 2557ทันทีที่ลงนามรับรองก็ส่งกำลังทหารประจำการรักษาสันติภาพ ก่อนสั่งเปิดฉากโจมตียูเครนทุกทิศทาง “ประชาชนลี้ภัยสงคราม” ออกจากยูเครนไปยังประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปตะวันออกที่มีชายแดนติดยูเครน กระทั่ง “สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สหภาพยุโรป และแคนาดา” ประกาศคว่ำบาตรรายบุคคลต่อวลาดิเมียร์ ปูติน และเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รมต.ต่างประเทศรัสเซีย ในมาตรการคว่ำบาตรมีผลให้ทรัพย์สินถูกอายัด เพื่อตอบโต้การทำสงครามในยูเครนครั้งนี้ ดร.อดุลย์ กำไลทอง นักวิชาการอิสระในฐานะ ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซีย บอกว่าการเดินเกมรุก “รัสเซียเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารโจมตียูเครน” เกิดเป็นสงครามเต็มรูปแบบเกินความคาดหมาย หักปากกาบรรดานักวิชาการ และนักวิเคราะห์หลายสำนักโดยสิ้นเชิงถ้าเจาะดูเนื้อหาอย่างละเอียดแล้ว “รัสเซียโยนหินถามทางมาสักพักใหญ่” เริ่มจากเคลื่อนกำลังทหารประชิดชายแดน ฝึกซ้อมรบ “หยั่งเชิงยูเครน และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต” เมื่อไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆก็ลงนามรับรองเอกราชโดเนตสก์และลูฮันสก์ อันเป็นเสมือนลูบคมนาโตกลับไม่ทำอะไรอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ “รัสเซีย” ก็เปิดยุทธวิธีคืบคลานเดินเกมอย่างช้าๆค่อยเป็นค่อยไปแล้วคอยสังเกต “อาวุธลับหมัดเด็ดคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ” กระทั่งมั่นใจไม่มีฤทธิ์พิษสงตอบโต้ทางทหารมากนักก็ประเมินเหตุการณ์ “ตัดสินใจทำสงครามกับยูเครนเต็มรูปแบบ” เร่งปิดเกมเผด็จศึกในทันทีแน่นอนว่า “ปฏิบัติการนี้เน้นเป้าหมายยูเครนตะวันออกและยูเครนใต้” แต่จะไม่ทำสงครามยึดครองทั้งประเทศ เพราะมีตัวแปรสำคัญหลายประการเป็นอุปสรรคโดยเฉพาะ “ความเห็นจากประชาชนกลุ่มนิยมชาติตะวันตก” ที่จะไม่เห็นด้วยกับรัสเซีย อันนำมาซึ่งเหตุประท้วงต่อต้านรายวันจนไม่อาจปกครองประเทศได้ในที่สุดทั้งยังไม่เป็นผลดีต่อรัสเซียในสายตานานาชาติ ฉะนั้นสังเกตได้ว่า “รัสเซีย” มักเข้าโจมตียึดครองเฉพาะพื้นที่สนับสนุนเป็นหลัก “อันเป็นการบีบยูเครนให้ปฏิบัติตาม” มิเช่นนั้นก็จะบุกโจมตีคืบคลานไปเรื่อยๆ จนสุดท้าย “ยูเครนอาจต้องยอมเฉือนเนื้อบางส่วนให้รัสเซีย” แลกกับการรักษาอำนาจอธิปไตยของตัวเองไว้คงเดิมเรื่องนี้นับเป็นบทเรียนสำคัญให้ “นาโต สหรัฐอเมริกา และชาติตะวันตก” ที่ก่อนหน้านี้ประเมินวิเคราะห์ศักยภาพของรัสเซียต่ำเกินไป ไม่คิดด้วยซ้ำว่า “กล้าบ้าบิ่นโจมตียูเครนหนักขนาดนี้” จนทำให้พูดไม่ออกแล้วไม่มีแผนสำรองต่อการรับมือตอบโต้จัดการได้ทันท่วงทีด้วยซ้ำ หนำซ้ำกลายเป็นว่า “ชาติตะวันตก และยุโรป” ก็ไม่กล้าออกมาสนับสนุนทางการทหารต่อยูเครนเต็มที่ ทำได้แต่ออกมาตรการแซงก์ชันที่ไม่ได้ทำให้ “รัสเซียกลัวจนต้องชะลอหยุดปฏิบัติการทางทหาร” เพราะเขาเคยชินกับการถูกคว่ำบาตรมาตั้งแต่สมัยปี 2014 แล้วระยะเวลา 8-9 ปีมานี้ก็เรียนรู้พยายามพึ่งพาตัวเองมาตลอดย้ำว่า “รัสเซียไม่มีอะไรเสียไปกว่านี้” เพราะถ้ายังปล่อยให้ยูเครนเป็นสมาชิกนาโตแล้วล่ะก็ “ชาติตะวันตกจะเข้ามาประชิดรัสเซียส่งผลกระทบต่อความมั่นคงยิ่งขึ้น” ทำให้จำเป็นต้องเปิดฉากโจมตียูเครน มุ่งหมาย “ตัดไฟแต่ต้นลม” ไม่ให้ชาติตะวันตกภายใต้นาโตขยายเข้ามาใกล้มากไปกว่านี้ได้ปัจจัยนี้เป็นเหตุผลให้ “รัสเซียยอมเจ็บตัว” แลกกับสิ่งที่จะได้ติดมือมาบ้าง โดยเฉพาะ “การดิสเครดิตนาโต และสหรัฐฯ” แล้วพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสด้วย “การสร้างยุทธศาสตร์รัสเซียใหม่” ให้แผ่อิทธิพลทรงพลังขึ้นอีกครั้งนับแต่ “สหภาพโซเวียตล่มสลาย” ที่จะสามารถค้านอำนาจประเทศมหาอำนาจก็ได้เรื่องนี้ “ยุโรป” ค่อนข้างเป็นกังวลไม่สบายใจต่อ “การกระทำของรัสเซียอันมีพฤติกรรมละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ” แต่ก็ไม่เข้ามาแทรกแซงความขัดแย้งครั้งนี้ เพราะส่วนใหญ่พึ่งพาการนำเข้าก๊าซและน้ำมันจากรัสเซียมากกว่า 1 ใน 3 แล้วนักธุรกิจในยุโรปยังเข้ามาลงทุนธุรกิจหลายประเภทในรัสเซียอีกด้วยจนเสมือนว่า “เศรษฐกิจยุโรปผูกมัดไว้กับรัสเซีย” อันมิอาจแยกออกจากกันได้ด้วยซ้ำ ดังนั้น “การที่ยุโรปจะตัดสินใจใดๆในการลงโทษต่อรัสเซีย” ก็เป็นการทำลายตัวเองทางอ้อมก็ได้ถัดมา “ชนวนเหตุทำให้บานปลายเป็นสงครามขนาดใหญ่” ในเรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับท่าทีการตัดสินใจของ “นาโตจะรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกหรือไม่” ถ้ารับเข้าเป็นสมาชิกแล้วก็ฟันธงได้เลยว่า “เกิดสงครามขนาดใหญ่” อันเป็นรูปแบบสงครามวันออนวันระหว่างรัสเซียและนาโตขึ้นแน่นอนแต่ก็เชื่อว่า “นาโตไม่ต้องการประสงค์ให้เกิดสงคราม” เพราะมีผลกระทบมวลมนุษยชาติยากต่อการประเมินได้ ฉะนั้นมองว่า“สงครามรัสเซีย และยูเครน” ไม่น่าขยายออกไปยังประเทศภูมิภาคประเทศอื่น อย่างไรก็ดีต้องติดตามท่าทียูเครนที่มีทางเลือกเดียวคือยอมทำตามรัสเซีย ไม่เข้าเป็นสมาชิกนาโตเท่านั้นประการต่อมา “นาโตขาดเอกภาพการตัดสินใจ” เพราะด้วยมติข้อเสนอมักต้องผ่านประชุมสมาชิก 26 ประเทศเสมอ ในจำนวนนี้ก็แตกออกเป็นหลายกลุ่ม มีทั้งประเทศไม่อยากให้นาโตเข้าแทรกแซงความขัดแย้งนี้อันจะนำไปสู่สงครามยืดเยื้อ แล้วบางกลุ่มประเทศก็เห็นด้วยในการจัดการกับรัสเซียให้เด็ดขาด เช่นนี้ทำให้เห็นภาพว่า “นาโตตัดสินใจออกมาตรการใดต้องผ่านความเห็นชอบตรงกัน” ถ้าเมื่อใดที่ประชุมสมาชิกนาโตมีความขัดแย้งมักลงเอยด้วย “การเจรจาล่มวงแตก มติข้อเสนอถูกตีตก” แตกต่างจากรัสเซียอำนาจเด็ดขาดทั้งหมดขึ้นอยู่กับ “ปูติน” เป็นผู้ตัดสินใจเพียงคนเดียวสามารถทำอะไรได้ทันทีกลายเป็นว่า “ตอนนี้นาโตกำลังถูกลดความเชื่อมั่นศรัทธา” จากกรณีทอดทิ้งยูเครนให้ต้องเผชิญสงครามโดดเดี่ยวเพียงลำพัง โดยไม่เข้าช่วยเหลือปราบปรามจัดการรัสเซียเท่าที่ควรจะทำได้ ฉะนั้นในอนาคตคงต้องปรับบรรทัดฐานใหม่ เน้นพูดจริงทำจริง ไม่ใช่ข่มขู่ ไม่กล้าปฏิบัติการอะไรอย่างที่กำลังทำกับยูเครนอยู่นี้ประเด็นน่าจับตาต่อไป “รัสเซียมีแผนปรับภาพลักษณ์ใหม่” เดินเกมสร้างภาพคู่ขนานให้เกิดการเปรียบเทียบไม่ทำให้เกิดซ้ำรอยเหตุการณ์ “สงครามสหรัฐฯโจมตีอิรัก” แต่จะปรับท่าทียอมรับเป็นผู้รุกรานแล้วเปิดโต๊ะเจรจาทำสัญญาลูกผู้ชายยินยอมคืนยูเครนส่วนที่ไม่ต้องการแทรกแซงให้กลับเป็นเอกราชดังเดิม “สงครามครั้งนี้เป็นเพียงยุทธการถอนขนไก่ให้ลิงดู ตักเตือนยูเครนให้เจ็บแล้วสุดท้ายประธานาธิบดีปูตินจะเข้ามาปรับบทให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งในหลักการล้างสมองด้วยเหตุผลในความจำเป็นต้องปฏิบัติการทางทหารเข้ายึดบางส่วนยูเครน แล้วทุ่มส่งเสริมพื้นที่ยึดครองให้มีคุณภาพที่ดี ส่วนอื่นก็คืนเอกราชดังเดิม” ดร.อดุลย์ว่าแต่สิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ “การตัดไฟตั้งแต่ต้นลม” ส่งสัญญาณถึงนาโตและชาติตะวันตกที่จะไม่กล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายในยูเครนแล้วยังทำให้ “ยูเครนรู้สึกผิดหวังขาดความเชื่อมั่นนาโต” เสมือนถูกหลอกทิ้งไว้กลางทางถนนต้องยืนอยู่ลำพัง สุดท้ายก็จะไม่กล้าทะเลาะกับรัสเซียหันมาสร้างความสัมพันธ์ดีกว่าถูกรุกรานตามมาสุดท้ายนี้ “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” กระทบเศรษฐกิจไปทั่วโลกไม่มากก็น้อย ปรากฏชัดๆ “นํ้ามัน และก๊าซดีดตัวขึ้น” ถ้าสงครามยืดเยื้อยิ่งกระทบหนักต้องจับตาเปิดโต๊ะเจรจาหาทางออกกันต่อไป...