สลัดลุคนายแบบหนุ่มหล่อโอปป้ามาทุ่มเทกับบทบาทการแสดงผู้ป่วยมะเร็งในระยะสุดท้ายในภาพยนตร์ “One for the Road วันสุดท้ายก่อนบายเธอ” กำกับโดยบาส–นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ดูแลงานสร้างโดยหว่องกาไว ที่กำลังฉายในโรงภาพยนตร์ เป็นที่พูดถึงหลายๆ องค์ประกอบและทีมนักแสดงคุณภาพ หนึ่งในนั้นใครๆก็ต้องพูดถึงหนุ่ม “ไอซ์ซึ–ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์” ผู้ถ่ายทอดบท “อู๊ด” ที่อยากกลับไป ขอบคุณและขอโทษแฟนเก่าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ตัวเองจะจากไปได้ออกมาได้อย่างเข้าใจและลึกซึ้ง เลยชวนไอซ์ซึเล่าการเดินทางที่ช่วงชีวิตช่วงนั้น “อู๊ด” อยู่กับตัวตลอดเวลาทั้งในการแสดงและการใช้ชีวิตจริง!!!“ดีใจที่วันนี้ได้ฉายให้คนไทยดูแล้ว จริงๆความตื่นเต้นของผมเริ่มจากงาน เทศกาล Sundance Film Festival 2021 เราไปโปรโมตและมี Q&A กับชาวต่างชาติและรอฟังคำวิจารณ์จากนักวิจารณ์ต่างชาติ ตอนนี้คนไทยก็ได้ดูแล้ว ตอนอยู่ในซันแดนซ์สำหรับผม ตอนนั้นรู้สึกเหนือจริงครับ รู้สึกว่าต้องหยิกตัวเอง ฝันรึเปล่า เพราะเทศกาลซันแดนซ์เป็นเทศกาลที่ผมติดตามตั้งแต่สมัยเด็กๆ ทั้งหนัง Little Miss Sunshine, (500) DAYS OF SUMMER, Whiplash แล้วก็ไม่คาดคิดว่าเราได้ไปและได้รางวัลมาอีก รู้สึกว่าเป็นความภูมิใจกับตัวพี่บาส ดีใจที่ได้มาอยู่ในโปรเจกต์นี้ร่วมกับนักแสดงท่านอื่นๆ เหมือนเราเป็นเรือลำเดียวกันแล้วพี่บาสเป็นกัปตันเรือพาพวกเราไปเดินสายต่างประเทศ เราเป็นลูกเรือก็อยากทำให้เต็มที่ไม่คิดว่าเรือลำนี้จะพาเราไปได้ไกลขนาดนี้จริงๆ” หลายคนได้เห็นความทุ่มเททางการแสดงของไอซ์ซึกับบทอู๊ด เราต้องเตรียมตัว อะไรบ้าง?“พอได้รับบทนี้มา จะมี 2 พาร์ต พาร์ตแรกเป็นเรื่องตัวละครอู๊ดก่อนจะเป็นมะเร็ง พาร์ตนี้ด้วยความที่อู๊ดเป็นเด็กเสิร์ฟ ผมเลยอยากรู้ว่าเค้ามองโลกยังไง พอดีพี่บาสมีร้านบาร์ชื่อ Mutual Bar เลยไปขอฝึกงานที่ร้าน เข้างาน 4 โมง เลิก 5 ทุ่ม ทำอย่างนั้นอยู่เป็นเดือนๆเป็นเพื่อนกับเด็กเสิร์ฟในบาร์ พี่บาสเค้าจะมี Input ต่างๆใส่เข้ามาเพราะเค้าเขียนตัวละครนี้มาจากชีวิตของตัวเองที่อยู่ที่นิวยอร์ก เสร็จจากเมืองไทยก็จะมีการบินไปถ่ายทำที่นิวยอร์ก ตัวผมเองก็ขอบินไปก่อนกับทีมงานโปรดักชัน ผมขอไปก่อนเพราะอยากรู้ว่าคนไทยที่นู่นที่ทำร้านอาหารไทยเค้ามีความ รู้สึกยังไงและโชคดีมากที่ร้านที่เราใช้ถ่ายทำ ผมได้ขอเจ้าของร้านไป Observed อยู่กับร้านนั้นและเป็นพนักงาน และได้คุยกับคนไทยที่ไปทำงานที่นั่นเป็น 10 ปี ก็ทำให้ผมเข้าใจว่าการทำงานก็ลำบากนะ พอถ่ายทำไปมาถึงพาร์ตที่สอง ทีนี้ยากกว่าพาร์ตแรกอีก พาร์ตที่สองเกี่ยวกับโรคมะเร็ง เราอยากเข้าไปเข้าใจหัวอกหัวใจเค้าจริงๆมันมีอะไรมากกว่าการลดน้ำหนักทางกายภาพ ผมเลยเริ่มจากความเข้าใจในผู้ป่วยมะเร็ง เข้าไปคุยกับคุณหมอที่โรงพยาบาลรามาธิบดี และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปสำรวจผู้ป่วยโรคมะเร็ง หลังจากนั้นทางพี่บาสเค้าก็มีเพื่อนที่เป็นมะเร็ง เค้าก็ให้ทางเพื่อนของเค้าคือพี่ลอยด์มาเป็น role model เพื่อให้ ผมศึกษาทั้งในเรื่องของกายภาพและสภาพจิตใจ ซึ่งผมรู้สึกยังไม่พอจนผมไปเจอว่าท่านแม่ชีศันสนีย์ (เสถียรสุต) มีกิจกรรม ในการบำบัดอาการด้วยใจที่เสถียรธรรมสถาน เราก็ลองไปทำกิจกรรมนั้นดู แล้วก็ได้เจอกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง ก็ได้พูดคุยและสังเกตเค้า ซึ่งทางครูกุ๊กไก่-รังสิมา ที่เป็นแอ็กติ้งโค้ชของหนังเรื่องนี้ ได้แนะนำว่ามีกิจกรรมหนึ่งที่น่าสนใจชื่อว่า “เตรียมตัวก่อนตาย” ของทางองค์กร peaceful death ให้คนที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง หรือป่วยเป็นโรคอื่นๆรวมถึงคนปกติแต่อยากเตรียมตัว รับมือกับความตาย ซึ่งตอนนั้นเหลือเวลาก่อนถ่ายแค่ไม่กี่วัน และผมก็ยังไม่ได้หัวใจของตัวละคร ก็บินไปที่ลำปางเลย ได้เจอกับผู้คนมากมาย ได้ฟังเรื่องราว บังเอิญพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล มาเป็นวิทยากรให้ รู้สึกโชคดีมาก ผมก็ได้คุยกับท่าน แล้วก็เอาสิ่งที่ตัวละครคิดและเผชิญไปปรึกษา ท่านก็ให้คำแนะนำมา ผมก็คลิกเลยกับตัวละคร บินกลับมาก็ถ่ายเลย และโชคดีที่เรื่องนี้ทีมงานเซตระบบการถ่ายทำตามทริป ตามเรื่องราวเลยเหมือนได้เดินทางกับหนังจริงๆจนวันปิดกล้อง” ถามถึงการร่วมงานกับต่อ–ธนภพ ที่ต้องร่วมเดินทางไปด้วยกัน?“ผมกับต่อเคยทำงานเป็นนายแบบด้วยกันเมื่อ 10 ปีก่อน ผมเป็นรุ่นพี่ ต่อเป็นรุ่นน้อง เข้ามาในสังกัดเดียวกัน รู้จักกันประมาณหนึ่ง แล้วเค้าก็ไปเล่นซีรีส์ฮอร์โมน และดังมาก ส่วนผมจากนั้นก็ไปทำงานที่เกาหลี พอกลับมาผมก็มาแคสติ้งกับจีดีเอชและเซ็นสัญญา ผมก็เลยกลายมาเป็นรุ่นน้องต่อในฐานะนักแสดง จากรุ่นพี่นายแบบมาเป็นรุ่นน้องนักแสดง (ยิ้ม) แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะทำงานด้วยกัน ด้วยวัยเราต่างกันประมาณหนึ่ง พอเป็นเรื่องนี้เลยได้โคจรกลับมาเจอกัน ตัวละครก็เป็นการห่างและมาเจอกันซึ่งเหมือนกับเราสองคนจริงๆ ทำให้เวลาผมกับต่อเข้าซีนกันไม่ต้องพูดอะไรกันมากก็เชื่อได้ว่าเป็นเพื่อนกัน ต่อเค้าเป็นคนเก่งมากๆมีความรับผิดชอบสูง ผมว่าผมเจอคนที่เหมือนกันมากคือคนที่รักในงานแสดงและอยากทำให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองมีแรงมีเวลา ดีมากๆที่ได้มาเจอกับต่อ”การที่หนังคว้ารางวัลเทศกาล Sundance และกระแสดีในไทยถือว่าคุ้มค่ามั้ยกับสิ่งที่เราทุ่มเทเพื่ออู๊ด?“ผมรู้สึกว่าทั้งซันแดนซ์และกระแสต่างๆถือเป็นผลพลอยได้ที่ผมก็ภูมิใจกับมัน จริงๆผมคุ้มตั้งแต่การที่ผมได้ประสบการณ์และเข้าใจหัวอกหัวใจของคนที่เป็นมะเร็งแล้ว หลังจากเล่นเสร็จ เราได้เรียนรู้ชีวิตของตัวเอง มีมุมมองในการใช้ชีวิตของตัวเอง เปลี่ยนไป ผมว่าประสบการณ์นี้แหละที่มีความสำคัญกับผมและนั่นคือกำไรในการแสดงเรื่องนี้ ได้เพื่อนนักแสดงกลุ่มนี้เป็นทีมทีมนึงที่รักกัน ทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือทำให้หนังเรื่องนี้มีหัวใจที่สุดและดีที่สุด"ถามถึงช่วงที่ต้องลดน้ำหนัก 17 กก.จนร่างกายเปลี่ยน แปลว่ารับงานอื่นไม่ได้เลย?“ใช่ครับ ด้วยประสบการณ์ของเราไม่ได้เยอะมากเลยยังไม่มีความสามารถจะสวิตช์ตัวละครแบบที่คนมีประสบการณ์เยอะๆทำ เลยอยากโฟกัสแค่อันเดียวให้ดีที่สุด ยิ่งตัวละครอู๊ดต้องโกนหัวและผมก็โกนหัวจริงด้วย เลยอยากโฟกัสและเข้าใจหัวอกหัวใจของเค้าให้มากที่สุด”อยู่กับตัวละครอู๊ดนานแค่ไหน? “ประมาณ 5 เดือนครับตั้งแต่เวิร์กช็อปมา”หลายคนมองว่าสมจริงมากๆเรื่องลดน้ำหนัก?“ผมมีประสบการณ์ลดน้ำหนักจากผลงานก่อนเลยมีกระบวนการวิธีลดน้ำหนัก แล้วสามารถที่จะปรับตัวกับการลดน้ำหนักได้ แต่มันยากตรงที่ระยะเวลาที่จะลดน้ำหนักในการถ่ายทำครับ ก็ต้องอัดคาร์ดิโอ มีวิตามินเสริม”การใช้ชีวิตช่วงน้ำหนักลดเป็นยังไงบ้าง? “หิวครับ (ยิ้ม) มันก็ลำบากครับ เพราะการลดน้ำหนักมันยากจริงๆ อีกอย่างคือลดแล้วต้องฝังอาการที่เราป่วยเข้าไปในจิตใจเราจากที่เราได้ไปเรียนรู้และสังเกตทั้งด้านกายภาพและจิตใจของผู้ป่วยมันก็เลยยิ่งลึกลงไป และมันก็มีผลต่อการเดินการนั่งและเสียงที่ผมใช้พูดในหนังด้วยก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำในฐานะนักแสดง ก็รู้สึกอยากทำให้มันดีที่สุด บางครั้งมันก็มีช่วงที่ผมท้อนะครับ แบบว่าทำไม่ได้แน่เลยตายแน่ แต่มันก็จะเห็นภาพผู้ป่วยโรคมะเร็งที่เราได้ไปศึกษามาและนึกถึงพี่ลอยด์ด้วย เราก็จะรู้สึกว่าไม่ได้นะ เราต้องถ่ายทอดให้คนดูได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด มันมีความรับผิดชอบตรงนั้นอยู่ ผมว่าผมยึดสิ่งนี้สำคัญที่สุดในการเป็นตัวละครใดละครหนึ่ง แล้วในหนังไม่ได้มีฉากที่ทำให้เห็นว่าผมเป็นมะเร็งเยอะ เลยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เห็นแว้บแรกจะต้องเชื่อเลยโดยไม่ต้องเล่าอะไร” ความเป็น “อู๊ด” อยู่กับเราตลอดแม้ในการใช้ชีวิต ปกติตอนนั้นเลยมั้ย?“สำหรับผมอยู่ตลอดเลยครับ ตอนที่ไม่ได้ถ่ายก็มีความคิดของเค้าอยู่ในตัวผมตลอดเวลา แล้วก็เป็นเป้าหมายของผมด้วยว่าผมอยากจะสำรวจสิ่งนั้นที่เค้ารู้สึกจริงๆว่ามันเกิดอะไร พอผมอยู่กับเค้าไปเรื่อยๆมันก็จะเริ่มมีสิ่งใหม่ขึ้นมามากกว่าการที่ผมคิดวิเคราะห์ตัวละคร ผมก็รู้สึกว่าดีเหมือนกันนะและเราอยากจะทุ่มเทให้มากที่สุดถ้ามันไม่ได้ทำร้ายตัวเรามากเกินไป ซึ่งสำหรับผมผมพร้อมที่จะทำมันมากๆและมีประโยชน์มากที่เราได้อยู่กับเค้าและเข้าใจเค้า เหมือนเราเป็นเพื่อนสนิทกับเค้าและอยู่กับเค้ามาระยะเวลาหนึ่ง พอเราเข้าใจเค้าแล้วมันก็เหลือแค่ว่าพอเราไปออกกอง ก็ถ่ายทอดเค้าออกมาอย่างจริงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้”แล้วช่วงนั้นคนรอบตัวว่ายังไงบ้าง ออกไปพบปะผู้คนบ้างมั้ย?“ส่วนมากผมไม่เจอใครเลย จะมีแค่อยู่กับแฟน อยู่กับแมวที่บ้าน แต่ช่วงที่ ผมเริ่มออกไปรีเสิร์ช ก็เริ่มเจอคนซึ่งผมไปด้วยการที่หัวผมโล้นและผอมแล้วเอาไม้เท้าไปด้วย คนอื่นคงมองว่าผมป่วยจริงๆและปฏิบัติกับผมดีมากๆ เป็นการทดสอบตัวเองประมาณนึงด้วยนะว่าโอเคเค้าเชื่อแล้ว มันก็เสริมความมั่นใจในจุดที่คนเห็นเราแล้วเชื่อ ส่วนชีวิตปกติก็เป็นคน introvert อยู่แล้ว แต่ก็จะมีออกไปสังสรรค์บ้าง ไปเจอคุณพ่อคุณแม่ เจอเพื่อนนานๆที แต่พอมาเล่นเป็นอู๊ด ยิ่งในภาวะที่เป็นมะเร็ง เราไม่อยากให้คนที่เราแคร์และคนรอบตัวเราเป็นห่วงสุขภาพเรา เค้าน่าจะตกใจ และเรารู้สึกว่าเราพร้อมที่จะทำมันและเราต้องไม่ให้คนที่รักและแคร์เราเป็นห่วงเราไปด้วย” ไม่มีภาพตัวเองออกสื่อ? “ใช่ครับ ไม่ได้ออกสื่อเลย มีงานอื่นๆติดต่อเข้ามาผมก็ไม่ได้รับ โปรเจกต์มันมีเรื่องของการใช้ร่างกายเยอะ คือถ้าเราไปรับงานอื่นโดยที่ร่างกายเราไม่ได้ดูสุขภาพดีมันก็ไม่สามารถไปพรีเซนต์แบรนด์เค้าได้ งั้นเรารอวันที่ร่างกายเราพร้อมดีกว่า” ดูทุ่มเทกับแต่ละงานอย่างจริงจัง?“ตอนเข้ามาแรกๆผมก็รับงานด้วยวิธีคิดอีกแบบหนึ่ง พอเราทำงานไปสัก 3 ปีเราก็เริ่มจะจับทางได้ว่าอะไรที่เราชอบในวงการนี้ พอได้ทำการแสดงขึ้นมันก็เริ่มรัก ผมชอบเวลาที่ไปออกกอง ชอบตอนที่เราอยากรู้ว่าตัวละครคิดยังไง ชอบตอนที่เราถ่ายทอดเสร็จผมดีใจมันก็เลยไปโฟกัสตรงนั้นแทน ตอนที่ผมเข้ามาแรกๆ ผมคิดว่าน่าจะมีงานโฆษณามีชื่อเสียงที่ทำให้เราขึ้นป้ายบิลบอร์ดใหญ่ๆ แต่พอเริ่มมาทำงานจริงๆเป้าหมายของเราคือการถ่ายทอดตัวละครให้ดีที่สุด งานอื่นก็เป็นผลพลอยได้จากการที่เราชอบทำตรงนี้” ที่ผ่านมาเลิกเล่นโซเชียล เลิกเล่นอินสตาแกรม เพราะหายไปกับตัวละครนี้หรือเปล่า?“จริงๆโซเชียลไม่ได้เกี่ยวกับการเล่นเรื่องนี้ ผมมองว่ามันเป็นช่วงโควิด แล้วมันทำให้เรากลับมานั่งคิดว่าเอ๊ะทำไมเราไม่ค่อยโพสต์รูปเลย น้อยมากๆ ทำไมเราไม่ค่อยเล่น เวลาที่โพสต์ก็เป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำ เช่น เทศกาลต่างๆ เพราะเดี๋ยวแฟนคลับจะคิดถึง มีแค่ตรงนั้น เลยโอเคแสดงว่าเราไม่ใช่คนเล่นโซเชียลเท่าไหร่ แล้วในอินสตาแกรมจะมีให้ปิดไอจีเดือนนึงให้เราทดลองดูว่าเราโอเคมั้ย พอทดลองจริงผมลืมไปเลยว่าผมปิด นี่คือปิดไปแล้วเหรอ มันเลยโอเคก็เลยตัดสินใจปิดไป ซึ่งจริงๆผมก็มานั่งคิดว่าแฟนคลับจะเป็นยังไงบ้าง เค้าจะคิดถึงผมมั้ย แต่พอมานั่งคิดก็รู้สึกว่าผมก็มีผลงานที่ออกอากาศอยู่ดี และมีไปสัมภาษณ์ที่ต่างๆให้แฟนๆได้ติดตามอยู่”แฟนคลับรอคอยตื่นเต้นเพราะเราหายไปนาน?“เค้าก็คงคิดถึงกันจริงๆครับเพราะว่าเป็นเวลาประมาณ 2 ปีที่ไม่ได้ออกสื่อเลย ถามว่าติดต่อกับแฟนคลับอย่างไร ก็ได้เจอกันเวลาไปงาน อาจจะด้วยความที่ผมเป็นคนมีความเป็นส่วนตัวมากๆไม่ได้หมายถึงกับแฟนคลับอย่างเดียวกับเพื่อนก็ด้วย เพื่อนก็บอกว่าออกมาเจอกันบ้าง มันอาจจะเป็นเนเจอร์ของผมจริงๆ และแฟนคลับก็จะรู้จักผมอยู่ประมาณนึงแล้ว เค้าก็น่าจะเข้าใจ จริงๆผมก็คิดว่าสิ่งนี้มันอาจจะขัดกับอาชีพนักแสดงอยู่เหมือนกัน แต่ว่าสุดท้ายผมก็เป็นคนที่ชัดเจนกับตัวเองและทางอะไรซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองเป็นหลักครับ สุดท้ายเราหลอกตัวเองไม่ได้ ผมมองว่า ณ วันนี้ผมอาจจะยังไม่พร้อมที่จะเล่นอินสตาแกรม แต่ผมไม่แน่ใจว่าอนาคตตัวเองอาจจะมีโมเมนต์ที่ตัวเองพร้อมขึ้นก็ได้ครับ” ยังมีผลงานอะไรที่อยากทำอีก? “จริงๆผมพักงานมา 2 ปี หลังจากถ่ายเรื่องนี้เสร็จก็กลับมาดูแลร่างกายตัวเองด้วย ผอมมาก เพราะตอนนั้นร่างกายยังแย่มาก ไว้ผมจนผมยาว ใช้เวลาเป็นปีอยู่เหมือนกันค่อยๆกลับมาและเป็นช่วงโควิด-19 ที่กองเปิดไม่ได้ จนมาวันนี้แพชชันมันก็เริ่มกลับมาแล้วพร้อมที่จะทำงานมากขึ้น มีบทที่เราชอบแล้วกำลังดูกันว่าจะทำภายในปีนี้เป็นโปรเจกต์ต่อไปครับ”.เรื่อง: สุภลัคน์ วุฒิกรีธาชัย