นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้ภาวะมีบุตรยากเป็นโรคที่ได้รับการรักษา และประเทศไทยมีอัตราเด็กเกิดน้อย ดังนั้น หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อส่งเสริมการเกิดคือการจัดสิทธิประโยชน์ให้สามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยรักษาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งเป็นแนวคิดที่ สบส. และคณะกรรมการอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ เห็นตรงกัน ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็อยู่ระหว่างร่วมกันศึกษาความคุ้มค่าของวิธีการ กลุ่มเป้าหมาย หากได้มีการบรรจุอยู่ในสิทธิประโยชน์ คนที่เหมาะสมตามข้อกำหนด ก็จะทำให้เราได้เด็กที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น รวมทั้งการแก้ไข พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่อาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ หรือ พ.ร.บ.อุ้มบุญ ซึ่งมีใช้นานแล้วและอยู่ในระหว่างการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในการรักษาภาวะมีบุตรยาก คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจะได้ข้อสรุปการปรับแก้นพ.ธเรศกล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นที่จะมีการแก้ไข อาทิ ให้คู่สามีภรรยาชาวต่างชาติสามารถเข้ามาทำการอุ้มบุญในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมีหลายวิธี เช่น พาคนของตนเองเข้ามาได้ หรือให้คนไทยที่ประสงค์เป็นผู้รับฝากอุ้มบุญ ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง มีการจ่ายค่าตอบแทนที่ชัดเจน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยังมีการหารือกันอยู่ ซึ่งหากเราทำให้ถูกต้องก็จะไม่ใช่การค้ามนุษย์ โดยมีหลักการคือคนที่ต้องการให้ผู้อื่นอุ้มบุญแทนนั้นเขาจะรับเด็กเป็นลูกจริงๆอยู่แล้ว ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับกรณีเข้ามาลักลอบจ้างคนอุ้มบุญจำนวนมากแล้วนำเด็กออกนอกประเทศ ซึ่งไม่รู้ว่าพาเด็กไปทำอะไร ดังนั้น เชื่อว่าหากระบบลงทะเบียนให้ชัดเจนจะเป็นประโยชน์ในการควบคุมกำกับ และช่วยคนที่อยากมีลูกจริงๆได้ ทั้งยังสามารถแยกคนที่แอบทำเพื่อค้ามนุษย์ได้ ส่วนผู้มีความหลากหลายทางเพศจะสามารถให้อุ้มบุญแทนได้หรือไม่นั้น เรื่องนี้จะยึดตามกฎหมายครอบครัว เพราะ พ.ร.บ.อุ้มบุญนั้น จะระบุว่า สามารถทำให้กับคู่สมรสตามกฎหมาย ดังนั้นหากกฎหมายคู่สมรสเปิดให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศ เป็นคู่สมรสกันตามกฎหมายได้ ในส่วนของการอุ้มบุญแทนก็ไม่มีปัญหาสามารถรองรับได้เลย นอกจากนี้ยังมีการพิจารณาแก้ไขเรื่องการฝากไข่ สเปิร์ม ตัวอ่อน ซึ่งเดิมกฎหมายห้ามไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศ จึงทำให้ต่างชาติไม่ดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนแรกในประเทศไทย หากปรับแก้ได้ก็จะเป็นผลดีกับประเทศ.