ผมเป็นแฟนที่เหนียวแน่นคนหนึ่งของนิตยสาร Marketeer นิตยสารการตลาดแบบไทยๆ ที่ออกวางจำหน่ายมานานหลายปีแล้ว...และทุกวันนี้ก็ยังมีวางตามร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้าต่างๆทุกครั้งที่คณะผู้จัดทำส่งมาให้ผม ผมจะอ่านตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย (รวมถึงโฆษณาด้วย) ด้วยความชื่นชมในลีลาการนำเสนอที่เขียนด้วยภาษาง่ายๆ และในข้อมูลที่มีการประมวล การสำรวจ หรือการสัมภาษณ์เจ้าของสินค้าต่างๆมาลงประกอบอย่างละเอียดอย่างฉบับล่าสุดที่ส่งมาให้ผมเมื่อต้นๆปีใหม่นี้เอง ไม่ได้บอกวันเดือนปีไว้ แต่บอกว่าเป็น Issue ที่ 243 ก็ลงรายละเอียดและเบื้องหน้าเบื้องหลังของสินค้าต่างๆที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย หลายๆยี่ห้อผมชอบใจสินค้าอยู่ชิ้นหนึ่งครับ...ชอบมากๆและเคยพึ่งพาอาศัยมานานมาก...และทุกวันนี้ก็ยังพึ่งพาอาศัยเป็นครั้งคราว...ถึงขนาดต้องซื้อใส่ตู้ในห้องครัวเพื่อสต๊อกเอาไว้...สำหรับจะหยิบฉวยออกมาใช้ประโยชน์...ในยามที่ ขอประทานโทษ นึก “อยาก” จะกินสินค้าที่ว่านี้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “มาม่า” ไงล่ะครับ...ต้นตำรับอาหารสำหรับคนจนในประเทศไทย แต่ขณะเดียวกันก็เป็นอาหารที่สามารถพกพาใส่กระเป๋าเดินทางติดตัวไปทั่วโลกได้...จึงกลายเป็นอาหาร “โอชะ” ที่ทำให้คนไทยหายคิดถึงบ้านเวลาเดินทางไปต่างแดนตามประวัติที่นิตยสาร Marketeer สัมภาษณ์ คุณ พจนา พะเนียงเวทย์ ซีอีโอของบริษัทผู้ให้กำเนิดมาม่านั้น...สรุปได้ว่า บริษัทได้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อนี้ขายในประเทศไทยครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2515 ในราคาซองละ 2 บาทแต่ผมเพิ่งจะมีโอกาสรับประทานเป็นครั้งแรก เมื่อประมาณ พ.ศ.2532 ที่มีการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพผมมีโอกาสเดินทางไปให้กำลังใจทีมนักข่าวกีฬาของไทยรัฐที่ไปปักหลักทำข่าวซีเกมส์ครั้งที่ว่า...และในตอนดึกๆ น้องๆจะชง “มาม่า” มาให้ผมรับประทานเป็นอาหารก่อนนอน คืนละซองอยู่เสมอๆน้องๆเล่าให้ฟังว่าเป็นความนิยมของนักข่าวกีฬา รวมทั้งทีมกีฬาไทยเราด้วยมาแล้วหลายปีก่อนหน้านั้นที่จะขน “มาม่า” ติดตัวเป็น เสบียงกรังไปด้วยในเวลาไปทำข่าวและไปแข่งขันในต่างประเทศสำหรับพวกเรานักข่าวกีฬาถือว่าเป็น “อาหารหลัก” เลยละครับ เพราะเบี้ยเลี้ยงมักจำกัดจำเขี่ย ก็ต้องหาของประหยัดไว้บ้าง...แต่สำหรับนักกีฬาไทยจะมีไว้เป็นอาหารเสริมเพื่อให้หายคิดถึงประเทศไทยเพราะเขาจะมีรส “ต้มยำ” ต่างๆ เช่น “ต้มยำกุ้ง” รับประทานไปจินตนาการไปก็เสมือนหนึ่งได้รับประทาน “ต้มยำกุ้งแม่นํ้าจืด อยุธยา” หายคิดถึงบ้านไปได้เยอะเลยหลังจากนั้นผมก็กลายเป็นสมาชิก “มาม่า” ไปเช่นเดียวกับน้องๆฝ่ายข่าวกีฬา...คือจะพกติดตัวไปหลายๆสิบซองเวลาเดินทางไปดูงานหรือไปทำข่าว ณ ประเทศต่างๆจากบทสัมภาษณ์ทำให้ทราบว่าปัจจุบัน บริษัทไทย เพรสิเดนท์ฟูดส์ฯ ได้ส่งมาม่าไปขายถึง 68 ประเทศทั่วโลกขายดีอันดับต้นๆก็คือ กัมพูชา สหรัฐอเมริกา ฟินแลนด์ และรัสเซียมีโรงงานตั้งอยู่ในประเทศไทย 5 แห่ง และต่างประเทศ 4 แห่ง ได้แก่ ฮังการี บังกลาเทศ เมียนมา และกัมพูชาอนาคตกำลังมุ่งหน้าไปตะวันออกกลาง และอินเดียปัจจุบันจากมาม่า 65 รสชาตินั้น ส่งไปขายต่างประเทศ ถึง 35 รสชาติ ขายดีที่สุดคือ หมูสับ, ต้มยำกุ้ง, ไก่ และต้มยำกุ้งนํ้าข้นรายได้รวมของบริษัททั้งในและต่างประเทศตกปีละ 14,300 ล้านบาท 70 เปอร์เซ็นต์ คือรายได้ภายในประเทศ และ 30 เปอร์เซ็นต์ คือรายได้จากการส่งออก ซึ่งคาดว่าต่อไปจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ขึ้นอีกคุณ พจนา พะเนียงเวทย์ กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ในส่วนตัวไม่ได้คิดว่าเราขายบะหมี่นะคะ...แต่เรากำลังขายอาหารไทย ขายรสชาติของความเป็นไทยที่หลากหลาย แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหน”ก็ขอเอาใจช่วยให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น...ตามประสาคน รักไทย เชียร์ไทย และให้กำลังใจสินค้าไทยมาโดยตลอดเคยเขียนถึง “กระทิงแดง” ด้วยความตื่นเต้น เมื่อไปเจอที่ร้านจีนที่แคนาดา เมื่อ 30 ปีก่อนโน้น และเขียนด้วยความดีใจเมื่อพบว่า “กระทิงแดง” ได้กลายเป็น “เรดบูลส์” เครื่องดื่มระดับโลก เมื่อสัก 15-16 ปีที่ผ่านมาจะดีใจมากอีกครั้ง หาก “มาม่า” อาหารขวัญใจคนจนของประเทศไทย จะกลายเป็นอาหารระดับโลกในอนาคต ขอเอาใจช่วยนะครับ.“ซูม”