ภายใต้การบริหารของรัฐบาล คสช. และรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจ ต้องยอมรับว่าภาพลักษณ์ของประเทศไทยในด้านความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน อยู่ในภาวะตกต่ำมาก ประจักษ์พยานที่ชัดเจนที่สุด คือสหรัฐอเมริกาไม่เชิญผู้นำไทยเพื่อเข้าร่วม “การประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย” 110 ประเทศจึงต้องถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่การประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย ที่มีนายชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เป็นประธาน ได้ประกาศกรอบการทำงาน 3 เรื่อง หนึ่งในนั้นระบุว่า “จะทำ อย่างไรให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย มากกว่าในปัจจุบัน” เป็นเพียงคำถามแต่พรรคเพื่อไทยยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม จะทำให้ประเทศ ไทยเป็นประชาธิปไตยมากกว่าปัจจุบัน อย่างไร ปัจจุบันนี้วงการนักวิชาการเรียกระบอบการปกครองที่เป็นอยู่ว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” บางคนเรียก “เผด็จการครึ่งใบ” ภาคประชาชนบางกลุ่มเรียก “ระบอบประยุทธ์”ในวันเดียวกัน ที่มีการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นายชัยเกษม ได้พูดถึงกรณีที่คนของรัฐบาลออกมาแสดงความเกรี้ยวกราด ขับไล่องค์กรสิทธิมนุษยชน “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล” ว่า จะทำให้โลกมองการกระทำของไทย เป็นเรื่องประหลาด และถามว่าใครคิดเรื่องนี้ และเอาสมองส่วนไหนคิดการแสดงอาการเกรี้ยวกราด และขับไล่องค์กรสิทธิมนุษยชนก็เป็นเรื่องหนึ่งที่สะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตย หรือไม่ นายชัยเกษมกล่าวว่า มีแต่ประเทศเผด็จการเท่านั้นที่ทำแบบนี้ แต่ถ้าเป็นสังคมประชาธิปไตย เขาจะกระทำอย่างละมุนละม่อม แบบอารยชนหรือประชาธิปไตยชน โดยยึดถือกฎหมายเป็นหลักเกี่ยวกับองค์กรสิทธิมนุษยชนในไทย มีคำชี้แจงจากนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการโครงการอินเตอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ว่า แอมเนสตี้ฯมีสาขา อยู่ในหลายประเทศ ส่วนแอมเนสตี้ฯประเทศไทย ผู้ที่ทำงานทุกคนเป็นคนไทย ส่วนเงินทุนมาจากค่าสมาชิก และเงินบริจาคจากผู้มั่งคั่งและศรัทธาถ้าหากผู้ที่ทำงานในแอมเนสตี้ฯ ประเทศไทย เป็นคนไทย การขับไล่แอมเนสตี้ฯออกนอกประเทศ นอกจากจะขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และประชาธิปไตยยังขัดรัฐธรรมนูญ ม.39 ที่ระบุว่า “การเนรเทศบุคคลสัญชาติไทยออกนอกราชอาณาจักร...จะกระทำมิได้” อย่าลืมว่าประเทศประชาธิปไตย ต้องยึดหลักนิติธรรม.