ผมเป็นคนแก่ตกรุ่น ยอมรับว่าเพิ่งมารู้จักกับคำว่า “สลิ่ม” เมื่อไม่นานนี่เอง หลังจากมีการพูดถึงด้วยการหยิบยกคำคำนี้มากล่าวหาคนโน้นคนนี้ว่าเป็น “สลิ่ม” อยู่เสมอๆ ตามโซเชียลต่างๆคำที่ออกเสียงคล้ายๆกันนี้ที่ผมรู้จักและคุ้นเคยอย่างดียิ่งคือ คำว่า “ซ่าหริ่ม” ซึ่งเป็นขนมไทยๆชนิดหนึ่งที่ผมชอบมาก...กินมาตั้งแต่เล็กจนโต และล่าสุดไปกินที่ ท่าเรือ จังหวัดกาญจนบุรี หลายปีมาแล้ว อร่อยมาก และตั้งใจเอาไว้ว่าโควิดซาเมื่อไรจะหาโอกาสไปเมืองกาญจน์อีกครั้งเพื่อแวะกิน “ซ่าหริ่ม” ท่าเรือให้หายคิดถึงสัก 2-3 ถ้วยเลยทีเดียวด้วยเหตุที่ผมเคยคุ้นกับคำว่า “ซ่าหริ่ม” อย่างมากนั่นเอง เมื่อจู่ๆ มีคำว่า “สลิ่ม” เกิดขึ้นมาใหม่และทุกวันนี้ดูเหมือนจะฮิตกว่า “ซ่าหริ่ม” เสียอีก จึงลองไปค้นหาดูว่า คำนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?ผมเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานก่อนอื่น ปรากฏว่าไม่มีครับ พอไปถึงคำว่า “สลิด” ที่แปลว่า ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งแล้ว ก็ข้ามไปที่ “สลึง” ซึ่งแปลว่า 25 สตางค์ โน่นเลย ไม่มีคำว่า “สลิ่ม” แต่อย่างใดทั้งสิ้นผมยังไม่ละความพยายาม คราวนี้เข้ากูเกิลคลิกไปที่ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีซะเลย...ปรากฏว่ามีครับ--เขาให้ความหมายของคำว่า “สลิ่ม” ยาวเหยียด ขอถือโอกาสคัดลอกมาเผยแพร่ต่อเลยนะครับ“สลิ่ม ในบริบทการเมืองไทยร่วมสมัย เป็นคำใช้เรียกกลุ่มคน หรือพฤติกรรมของบุคคลที่ถูกมองว่า คลางแคลงใจในระบอบประชาธิปไตย และสนับสนุนบทบาทของกองทัพในพื้นที่การเมือง”“คำนี้ในตอนแรกใช้เรียกเฉพาะ “กลุ่มเสื้อหลากสี” หรือกลุ่มประชาชนเพื่อพิทักษ์ชาติ ศาสนา กษัตริย์ โดยเรียกตามชื่อ ขนมซ่าหริ่ม ซึ่งมีหลายสี และอาจมีความหมายในเชิงดูถูก”“คำนี้ได้เริ่มเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ.2548-2553 ซึ่งผู้สนับสนุนการเมืองกลุ่มต่างๆใช้สีเสื้อในการระบุอัตลักษณ์ของตัวเอง เช่น พันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ใส่เสื้อสีเหลืองและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติที่ใส่เสื้อสีแดง”“ต่อมากลุ่มประชาชนเพื่อพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งรวมตัวกันครั้งแรกเมื่อ 13 เมษายน 2553 เพื่อคัดค้านกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ได้เรียกตัวเองอย่างลำลอง ว่า “กลุ่มเสื้อหลากสี” เพื่อแยกตัวเองออกจากกลุ่มการเมืองก่อนหน้านี้”กันยายน 2553 ทัศนะ ธีรวัฒน์ภิรมย์ ได้อธิบายลักษณะร่วมบางประการของ “สลิ่ม” ในบทความของประชาไท โดยสรุปได้เป็นนัยว่า “สลิ่มเป็นกลุ่มคนที่เป็น ผู้เกินกว่าราชา (Ultra-Royalist) เป็นคนที่มีการศึกษาสูง แต่จะเลือกเชื่อในสิ่งที่ได้รับการศึกษาในระบบมาเท่านั้น เป็นคนที่เชื่อคนยาก แต่จะเลือกเชื่อคนที่ดูดีมีความรู้”“เป็นผู้มีอันจะกิน มีกำลังซื้อมากและชอบนำเทรนด์ และเป็นคนที่มีความย้อนแย้งในตัวเองสูง”ตุลาคม 2554 พจนานุกรมการเมืองไทยร่วมสมัย www.thai politionary.com ให้ความหมายว่า “เป็นบุคคลที่หลงคิดว่าตนมีสติปัญญา คุณสมบัติ ความเชื่อ ค่านิยม หรือจริยธรรมเหนือกว่าผู้อื่น ทว่าแท้จริงกลับไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง”“ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน ไม่สามารถใช้ตรรกะหรือแสดงเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ จึงมักอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือมีความเชื่อที่ผิดอยู่เสมอ”ในช่วงการประท้วงในประเทศไทย 2563 เริ่มมีการใช้คำว่าสลิ่มกันในวงกว้างขึ้น ทำให้สื่อทั้งในและต่างประเทศต่างให้ความหมายที่ร่วมกันว่า เป็นคำพูดที่ถูกใช้ในทางเย้ยหยัน หรือเหยียดหยาม (derogatory) เรียกกลุ่มคนอนุรักษนิยมสุดโต่ง (Ultraconservative) ผู้เกินกว่าราชา (Ultra-Royalist) และผู้สนับสนุนรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาครับ! นี่คือที่มาที่ไปและความหมายของคำว่าสลิ่มตามที่ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี รวบรวมไว้ที่ผมคัดลอกมาราวๆ 65 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้จบลงได้ในคอลัมน์...ท่านที่ประสงค์จะอ่านรายละเอียดโปรดไปเข้ากูเกิลอีกครั้งอ่านไปอ่านมาแม้ผมจะมั่นใจว่าตัวเองไม่เข้าข่ายคำกล่าวหาที่รุนแรงและมองโลกในแง่ร้ายของผู้กำหนดนิยามคำว่า “สลิ่ม” หลายต่อหลายข้อ แต่ก็เข้าข่ายเต็มที่อยู่ 2 ข้อนั่นก็คือการเป็นคน “อนุรักษนิยม” และ “มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์” หรือ royalist อย่างยิ่งยวดของผมถ้าคุณสมบัติ 2 ข้อนี้ ทำให้เป็นสลิ่มผมก็ยินดีจะเป็นครับ...และยิ่งทราบว่า “สลิ่ม” แผลงมาจาก “ซ่าหริ่ม” ด้วยเช่นนี้ คนชอบกิน “ซ่าหริ่ม” เป็นชีวิตจิตใจอย่างผม ก็พร้อมที่จะเป็น โดยไม่ปฏิเสธเลยครับ...ซตพ.“ซูม”