กลับบ้านเที่ยวนี้ ผมตั้งใจไว้เลยว่า ต้องชวนน้องๆและลูกหลาน ไปรับประทานอาหารกลางวันหลังไหว้บรรพบุรุษเรียบร้อยแล้ว ที่ร้าน “อีแต๋นริเวอร์ไซด์” ริมฝั่งแม่น้ำปิงที่ปากน้ำโพผมชอบรสชาติอาหารของที่นี่ โดยเฉพาะอาหารประเภทปลาน้ำจืดทั้งหลาย ปรุงได้อร่อยมาก...“ปลาคังรวก” น้ำจิ้มรสเด็ด กับ “ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน” คือเมนูที่ผมประทับใจและใฝ่ฝันจะกลับมากินซ้ำที่สำคัญร้านนี้อยู่ใกล้กับบริเวณที่เรียกว่า “พาสาน” จุดเช็กอินใหม่สุดของปากน้ำโพที่น่าจะเปิดให้เข้าชมในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้เองเป็นจุดที่อยู่ตรงบริเวณ “สามเหลี่ยม” ที่แม่น้ำ ปิง+วัง เรียกว่า แม่น้ำปิง ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำ ยม+น่าน เรียกว่าแม่น้ำ น่าน กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเลือดหลักของสยาม...พอดิบพอดีผมจึงตั้งใจที่จะแวะรับประทานอาหารที่ร้านนี้ ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณ “สามเหลี่ยม” ต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยามากที่สุด เพราะตั้งใจว่าเมื่อรับประทานอาหารเสร็จจะแวะไปที่บริเวณสามเหลี่ยมที่เขาตั้งชื่อใหม่ว่า “พาสาน” เพื่อยืนชะโงกดูต้นน้ำเจ้าพระยา และดูเมืองปากน้ำโพอันเป็นที่รักและคิดถึงของผมอีกสักครั้งหนึ่งจากนั้นก็จะกลับมาเขียนถึงจุด “เช็กอิน” หรือ “แลนด์มาร์ก” ที่โด่งดังล่าสุดของนครสวรรค์แห่งนี้ เพื่อชดเชยที่ผมมาครั้งก่อน...ได้ดู ได้เห็น ได้เดินเล่นเกือบชั่วโมง...แต่ไม่สามารถจะเขียนถึงได้ทั้งๆที่น้องๆผม ลูกๆหลานๆผมที่มาด้วยกันต่างประทับใจกับความสวยงามบริเวณนี้กันทุกคนผมเองในตอนต้นก็ประทับใจและตื่นเต้นกับสิ่งที่มองเห็นอยู่ข้างหน้า และตั้งใจจะกลับมาเขียนแนะนำอย่างเต็มที่แต่แล้วผมก็พบว่า ณ ต้นแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณที่แม่น้ำ 2 สี และ 2 สายบรรจบกันนั้นมีเรือยนต์รับจ้างข้ามฟากลำเล็กๆกำลังแล่นจะเข้าเทียบท่าอยู่เพียงลำเดียวเท่านั้นเอง...ลำเดียวจริงๆนะครับพอเห็นปุ๊บผมก็ร้องไห้เลย...ร้องไห้แบบคนแก่น่ะครับ พวกเราคนแก่ด้วยกันคงจะเข้าใจความหมาย...ไม่มีน้ำตาไหลออกมาหรอก...แต่เรารู้ว่ามันกำลังไหลอยู่ข้างในข้างหน้าผมไม่ใช่ปากน้ำโพที่ผมเคยเห็นเคยสัมผัสและอยู่อาศัยมานานถึง 4-5 ปีระหว่างเรียนชั้นมัธยม เพราะถ้าเป็นปากน้ำโพจริงเป็นต้นน้ำเจ้าพระยาจริงๆต้องมีเรือมากกว่านี้ต้นน้ำเจ้าพระยาที่ผมคุ้นเคยและลงไป “คลุกคลี” ด้วยตนเองนับครั้งไม่ถ้วนนั้นจะเต็มไปด้วยเรือนับร้อยๆลำ ทั้งเรือใหญ่ประเภทเรือเมล์ เรือกลไฟ เรือโยง เรือเอี้ยมจุ๊น เรือบรรทุกข้าวและเรือเล็กที่เป็นเรือจ้างข้ามฟากทั้งประเภทมีเครื่องยนต์และประเภทเรือแจวด้วยมือจะใช้คำว่า “พันลำ” ก็คงมากไปแต่ถ้าจะใช้ว่า “ร้อยลำ” ก็น้อยไปอีก...ผมถึงเลือกใช้คำว่า “ร้อยๆ” ที่แปลว่า “หลายร้อย” เต็มลำน้ำไปหมดใน พ.ศ.โน้นไม่ใช่มีเพียงเรือข้ามฟากลำเดียวอย่างที่ผมเห็นเมื่อ 2 ปีที่แล้วเชื่อไหมครับ...ว่าผมไม่กล้าเขียนถึง พาสาน แลนด์มาร์กใหม่ของปากน้ำโพเลยตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเพราะจะเขียนทีไรก็อดร้องไห้ (ในอก) ด้วยความคิดถึงและอาลัยอาวรณ์ “ปากน้ำโพ” และ “ต้นน้ำเจ้าพระยา” ที่ผมคุ้นเคยอย่างยิ่งเมื่อ 63 ปีที่แล้วเสียมิได้เพิ่งจะทำใจได้ปีนี้แหละครับว่า สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนไป...ปากน้ำโพที่เคยยิ่งใหญ่เป็นชุมทางการค้าและเศรษฐกิจของภาคเหนือในยุค “แม่น้ำ” คือเส้นทางคมนาคมขนส่งหลักของประเทศ จะให้ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมในยุค “ถนน” เป็นหลักอย่างทุกวันนี้คงไม่ได้ผมปลงได้แล้วครับ และเมื่อปลงได้อย่างสิ้นเชิงแล้วเช่นนี้ ก็สามารถที่จะเขียนแนะนำ “พาสาน” ได้ด้วยความภูมิใจมีโอกาสผ่านปากน้ำโพอย่าลืมแวะไปเยือนสักครั้งนะครับท่านผู้อ่านไม่มีความหลังเช่นผมมีแต่ความปัจจุบันที่ยังต้องพึ่งพาอาศัย แม่น้ำเจ้าพระยา สำหรับดื่ม-กิน-อาบ-ตลอดจนใช้ล้างสารพัดรวมถึงการใช้เพื่อการเกษตรปลูกข้าวปลูกพืชไร่ในบริเวณที่ราบลุ่มภาคกลาง หล่อเลี้ยงชาวไทยและชาวโลกบางส่วน ฯลฯไปยืนและเดินเล่นเพื่อแสดงความสำนึกและขอบพระคุณแม่น้ำ “สายเลือดแห่งสยาม” สายนี้กันสัก 10 นาที 20 นาทีผมการันตีว่าท่านผู้อ่านจะรู้สึกประทับใจแน่นอน แม้จะเห็นเรือแค่ลำเดียว...แต่ภาพตัวเมืองปากน้ำโพที่อยู่ข้างหน้าและคุ้งน้ำบริเวณนี้สวยงามอย่าบอกใครเชียวละครับ.“ซูม”