เล่าให้ฟัง... เนื่องในวัน “สิ่งแวดล้อมไทย”...(4 ธันวาคมทุกปี) จุดอ่อนของการจัดการสิ่งแวดล้อมของที่ผ่านมา... สะท้อนว่า “ประเทศไทย” มีกฎหมายสิ่งแวดล้อมทั้งด้านมลพิษและทรัพยากรธรรมชาติหลายฉบับ กระจายใน 13 กระทรวง แยกส่วนกันและไม่เคยนำมาบูรณาการร่วมกัน ต่างคนต่างใช้ถัดมา...การบังคับใช้กฎหมายที่ยังหย่อนยานและขาดประสิทธิภาพจนทำให้ขาดความเชื่อถือจากประชาชนสาม...ระบบการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ยังอ่อนแอ ถ้าประชาชนไม่ร้องเรียนเนื่องจากเดือดร้อนจากการพัฒนาโครงการแล้ว ส่วนใหญ่หน่วยงานรัฐก็จะไม่ค่อยรู้หรือรู้ก็ไม่ค่อยใส่ใจ สี่...การสร้างจิตสำนึกแก่ประชาชนมักจะไม่ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่นิยมจัดเป็นอีเวนต์เป็นครั้งคราวแล้วก็เลิกรากันไป...ถึงเวลาค่อยว่ากันใหม่ห้า...การให้แรงจูงใจหรือการยกย่องผู้ประกอบการที่ทำเพื่อสังคมและชุมชนยังมีน้อยเกินไปอย่างมากก็แค่ให้รางวัล แต่การที่จะส่งเสริมแบบมีผลกระทบสูง ไม่ค่อยมี เช่นการนำไปใช้เพื่อการลดหย่อนภาษีแทบไม่มี...ทุกวันนี้ทำมาหากินอะไรมาถูกสรรพากรเก็บทุกเม็ดหก...ขาดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการอนุมัติอนุญาต ส่วนใหญ่จัดทำเป็นพิธีการให้รู้ว่ามีการทำตามกฎหมายแล้ว เพื่อให้โครงการผ่านการอนุมัติแต่ยังขัดแย้งกับชุมชนในพื้นที่คำถามต่อไปมีว่า...แล้ว “ประเทศพัฒนาแล้ว” เขาทำอย่างไร?คำตอบก็คือ...เขาเริ่มจากสร้างระบบตรวจสอบและถ่วงดุล หรือ “ระบบ Check&Balance” โดยหน่วยงานอนุญาตจะมีหน้าที่ในการ ส่งเสริม...ดูแลโครงการให้ปฏิบัติอย่างดีที่สุด แต่หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมจะทำ หน้าที่ในการติดตามตรวจสอบและลงโทษแทน เช่น US.EPA เป็นต้นกำหนดให้ “โครงการ” ที่มี “ความเสี่ยง” ต่อการเกิดผลกระทบสิ่งแวดล้อมต้องทำประกันภัยด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งบริษัทรับประกันภัยจะไปทำหน้าที่กำกับดูแลอย่างดีกำหนดให้ทุกโครงการที่ปล่อยมลพิษต้องได้รับใบอนุญาตการปลดปล่อยมลพิษโดยจะมีการกำหนดว่าแต่ละโครงการสามารถปล่อยออกมาได้กี่ตันต่อปีหรือกี่กิโลกรัมต่อวัน (Loading) หากปล่อยออกมา เกินค่าที่กำหนดจะต้องจ่ายเงินค่าปรับ (Emission charge) จำนวนมาก“ภาครัฐ” จะสร้างระบบวอทช์ด็อกเครือข่ายประชาชนในการเฝ้าระวังปัญหาสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละชุมชน ให้องค์กรเอกชน...สมาคมด้านสิ่งแวดล้อมต่างๆที่ขึ้นทะเบียนไว้กับภาครัฐสามารถเป็นตัวแทนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบทำการฟ้องคดีกับภาครัฐที่ละเลยการทำหน้าที่ ได้และฟ้องให้รัฐจ่ายค่าชดเชย วนๆเวียนๆเชื่อมโยงมาถึงปัญหาเรื้อรัง “ฝุ่น PM 2.5” ท่ามกลางความเหมือนที่มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย บอกว่า “รถกระบะ” และ “รถดีเซล” จำนวนมากชอบที่จะอุด EGR เชื่อว่าทำให้แรงวิ่งเร็วขึ้นแต่...ข้อเท็จจริงคือปล่อยฝุ่น PM 2.5 มหาศาล และเครื่องยนต์พังเร็วอาจารย์สนธิ อธิบายว่า EGR หรือระบบ Exhaust Gas Recirculation คือระบบที่นำเอาไอเสียหลังการเผาไหม้ที่ควรจะระบายออกไป ทางปลายท่อไอเสียประมาณร้อยละ 5-15 วนกลับมาเผาไหม้ใหม่ซ้ำอีกครั้ง...การทำงานก็คือเมื่ออากาศในห้องจุดระเบิดของเครื่องยนต์ถูกคายออกมาเป็นไอเสียอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือ “ECU” ของเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ตรวจจับว่าไอเสียนั้นมีค่ามลพิษเกินกว่าที่กำหนดหรือไม่ หากเกินค่ามาตรฐานที่ตั้งไว้ไอเสียส่วนหนึ่งประมาณ 5-15% จะถูกวาล์ว EGR เปิดรับ...เพื่อนำกลับไปผสมกับไอดีที่ดูดมาจากภายนอก เข้าไปทำการเผาไหม้ในห้องจุดระเบิดใหม่อีกครั้งทำให้ “มลพิษ” ที่เผาไม่หมดในครั้งแรกถูกเผาไหม้ไปอีกครั้งจนสามารถระบายออกสู่สิ่งแวดล้อมได้ตามมาตรฐาน ลดปัญหา “ควันดำ” หรือ “ฝุ่น PM2.5” ลงได้เงื่อนปัญหาสำคัญเป็นเช่นนี้ แต่ก็มีขาซิ่งบางคนที่ใช้รถเครื่องยนต์ดีเซลมองว่าการนำเอาอากาศที่ไม่สะอาดหรือควันดำกลับเข้าไปในห้องจุดระเบิดอีกครั้ง จะทำให้เครื่องยนต์มีกำลังลดลง จึงทำการหยุดการใช้งานระบบด้วยการใส่ตัวอุดที่ทางเข้าของตัววาล์วของ EGRทำให้...“ไอเสีย” จาก “ห้องเผาไหม้” ระบายออกที่ท่อไอเสียได้ ทั้งหมด ไม่ต้องกลับไปเผาไหม้ใหม่ โดยมีความรู้สึกว่าเครื่องยนต์แรงขึ้น ตั้งแต่รอบต่ำๆเพราะในห้องเผาไหม้มีแต่อากาศบริสุทธิ์เข้าไปกระนั้นแล้วก็มีข้อเสียที่ต้องรู้กันเอาไว้ด้วยว่า ในระยะต่อไปก็คือ... ส่วนผสมของน้ำมันเชื้อเพลิงจะบางลง เนื่องจาก ECU จะประมวลผลและสั่งการจ่ายน้ำมัน จากการควบรวมไอเสียหมุนกลับที่มากขึ้น ส่งผลให้เครื่องยนต์ร้อนขึ้น เสี่ยงต่อการ “พัง” เสียหายของ “เครื่องยนต์”นอกจากนี้ ยังจะทำให้อุปกรณ์กรองไอเสียหรือ Catalytic Converter ทำงานหนักขึ้นและอุดตันเร็วกว่าอายุการใช้งาน เนื่องจากไอเสียควันดำที่มีปริมาณมากขึ้นพึงสังวรเอาไว้ “รถกระบะซิ่ง” และ “รถเครื่องยนต์ดีเซล” ที่อุด EGR และทะลวงแคทจะปล่อยมลพิษโดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ออกมามหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ประเภท Euro 3 หรือ Euro 4 ก็ตามคราวนี้ก็เชื่อมโยงไปถึง “หน่วยงาน” ที่รับผิดชอบต้องเร่งกวดขันรถยนต์ประเภทนี้ก่อนที่จะเกิดสภาวะการผกผันของอุณหภูมิ (Temperature Inversion) และลมสงบครอบกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ช่วงฤดูหนาวนี้ประหนึ่งว่า “รถเครื่องยนต์ดีเซล” เป็นต้นเหตุที่สำคัญของการเกิด “ฝุ่น PM 2.5” เกินค่ามาตรฐานในช่วงอากาศปิดในเขต กทม.และปริมณฑล...โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากปริมาณรถมากบวกเครื่องยนต์ไม่ได้มาตรฐาน “ประเทศไทยประกาศใช้มาตรฐานไอเสียรถยนต์เป็นระดับยูโร 4 ซึ่งมีกำมะถันในน้ำมันไม่เกิน 50 ส่วนในล้านส่วนตั้งแต่ปี 2012 แต่จริงๆ แล้วทั้งรถเมล์ รถบัสนำเที่ยว รถบรรทุกที่วิ่งกันเต็มเมืองเหล่านี้ ยังปล่อยไอเสียออกมาไม่ได้มาตรฐานระดับยูโร 4 ทำให้เป็นสาเหตุหลักของฝุ่น PM 2.5 ในเขต กทม.และปริมณฑล”ประเทศสิงคโปร์ได้ประกาศใช้มาตรฐานไอเสียระดับยูโร 6 แล้ว ซึ่งมีค่ากำมะถันในน้ำมันน้อยมาก...ไม่เกิน 10 ส่วนในล้านส่วน แต่เครื่องยนต์จะช่วยลดค่าก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ หรือ NO2 จากเดิมมาตรฐานยูโร 5 180 มิลลิกรัมต่อกิโลเมตร ลงเหลือตามมาตรฐานยูโร 6 เพียงไม่เกิน 80 มิลลิกรัมต่อกิโลเมตร ทำให้...ลดฝุ่น PM 2.5 ที่ปล่อยออกมาจากไอเสียน้อยมากเรียกว่า “คลีนดีเซล”“ปั๊มน้ำมันหลายแห่งในมาเลเซียมีการจำหน่ายน้ำมันดีเซลยูโร 5... มีกำมะถันในน้ำมันไม่เกิน 10 ส่วนในล้านส่วน...เวียดนามได้ประกาศใช้มาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5 ภายในปี 2565 ส่วนประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป ต่างก็ใช้มาตรฐานไอเสียระดับยูโร 6 มาตั้งแต่ พ.ศ.2557 แล้ว”แน่นอนว่า...ประเทศพัฒนาแล้วเหล่านี้ แทบไม่มีปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในเขตเมืองเลยตอกย้ำภาพชัดเจนว่าในเรื่องผลกระทบต่อ “สิ่งแวดล้อม” และ “สุขภาพ” ประเทศไทยมักจะช้ากว่าเพื่อนบ้านที่มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงเสมอ ดูท่าแล้ว...เฉพาะแก้ฝุ่น PM 2.5 ล้าหลังกว่าประเทศเวียดนามเสียอีกปุจฉาวิสัชนา...ถามตอบสารพัดสารพันปัญหา ทุกข์สุข “คนไทย” ที่เกี่ยวโยงกับปัญหา “สิ่งแวดล้อม” มันก็ดูจะมืดมน งงๆเวียนๆเช่นนี้เอง.