“ฤดูฝน” พ้นผ่านอย่างเป็นทางการ ประเทศไทยก็เข้าสู่ “ฤดูฝุ่น”...ด้วยวิกฤติฝุ่นจิ๋วพิษ PM2.5 มาเยือนมาเยี่ยม ภาระหนักตกอยู่กับผู้คนในเมืองใหญ่ที่มีชีวิตแออัด ต้องมีภาระทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือคนเมืองต้องควักกระเป๋า “จ่าย” ค่าหน้ากาก เครื่องป้องกันฝุ่น จิปาถะ ฯลฯรศ.ดร.วิษณุ อรรถวาณิช อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ บอกว่า ถ้าเราพูดกันถึงปัญหาในเรื่องการซื้ออุปกรณ์ป้องกันฝุ่น คำถามที่ตามมาก็คือฝุ่นปีนี้และในปีถัดๆไปจะยังคงเหมือนเดิมไหมถ้าไม่...ไม่มีการแก้ปัญหา...ยังเป็นวิกฤติหนักอยู่เหมือนเดิม การซื้ออุปกรณ์ก็คงต้องซื้อกันต่อไป เพราะแต่ละคนแต่ละครัวเรือนก็ต้องป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่สุดกำลัง ย้ำว่า...ภาระนี้ก็ยังคงจะเกิดขึ้น ถ้าตราบใดการแก้ปัญหายังไม่จบหรือยังไม่บรรเทาลงถามว่าปัญหาวิกฤติ “ฝุ่น PM2.5” คลี่คลายดีขึ้นบ้างไหม? รศ.ดร.วิษณุ มองว่า ถ้าดูจากนโยบายในอดีตภาครัฐมีนโยบายในเรื่องการลดมลพิษทางอากาศนานพอสมควรแล้ว ถ้าดีก็ดีอย่างช้ามากๆโดยปกติควรจะต้อง “ดี” และ “เร็ว” กว่านี้...ถ้าไปดูแผนปฏิบัติการภาครัฐ เอาแค่หนึ่งตัวอย่างเช่นการใช้มาตรฐาน “น้ำมันยูโร 4” เปลี่ยนมาเป็น “ยูโร 5” แผนระบุว่าจะใช้น้ำมันมาตรฐาน “ยูโร 5” ในปี 2563ทว่า...ก็ถูกเลื่อนไปเป็นปี 2565 และล่าสุด...ก็ปรับไปเป็นปี 2567 เป็นที่เรียบร้อยแล้วคำถามสำคัญตามมามีว่า...เป้าหมายโรดแม็ปที่ “รัฐบาล” เขียนไว้ถูกใช้การได้จริงมากน้อยแค่ไหน?“แผนมีตั้งแต่ในอดีต อยากให้คิดว่าแผนที่นำไปสู่การปฏิบัติจริงๆ เอาจริงมากน้อยแค่ไหน...ถ้าเอาจริงตามแผนเชื่อมั่นเลยว่าเรามีแผนที่ดี ถ้าเราทำได้...ฝุ่นลดลงแน่นอน” รศ.ดร.วิษณุ อรรถวาณิชการเปลี่ยนเลิกใช้ “น้ำมันยูโร 4” มาเป็น “ยูโร 5” ต้องมองแยกเป็นสองส่วน รถบรรทุกขนาดเล็ก รถเก๋ง รถยนต์ที่เราใช้ กับรถบรรทุกขนาดใหญ่... ปัจจุบันถ้าเป็นรถใหญ่ดีเซลยังใช้มาตรฐาน “ยูโร 3” อยู่เลยนะ ถ้าจำไม่ผิดรถบรรทุกขนาดใหญ่เราใช้มาตรฐานยูโร 3 ตั้งแต่ปี 2550 เป็นสิบกว่าปีล่วงมาแล้ว ยังไม่มีการปรับเปลี่ยน หรือ “ยูโร 4” ก็ใช้มาตั้งแต่ปี 2553 ก็ยังไม่เปลี่ยนเช่นกัน ซึ่งในต่างประเทศเขาปรับเป็น “ยูโร 5” กันแล้วมิติปัญหาภาคเอกชนก็จะมองว่าเสียประโยชน์ถ้าต้องปรับปรุงไม่ว่าจะเป็นในส่วนตัวรถยนต์ หรือเครื่องจักร สายงานไลน์การผลิต แน่นอนว่าหากจะพูดถึงมาตรฐานยูโรก็จะมี 2 ส่วนด้วยกัน คือ “ไอเสีย” กับ “น้ำมัน”ในมุม “น้ำมัน” โรงกลั่นก็ต้องลงทุนเพิ่มเทคโนโลยี ไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้าน ส่วนนี้รัฐบาลอาจจะเข้าไปช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่เกิดขึ้นในการปรับเปลี่ยน บวกกับโรดแม็ปที่ผ่านมาก็ผ่อนปรนไปเรื่อยๆไม่มีความชัดเจน...ฉะนั้นคิดว่าจากนี้ไป แผนตอนนี้ตั้งเป้าปี 2567 จริงๆก็...ขอให้ทำให้ได้ เพียงแต่ว่าแล้วกว่าจะถึงวันนั้น “คนไทย” จะทำกันอย่างไร จะอยู่กับฤดูฝุ่นได้อย่างปลอดภัยได้อย่างเท่าเทียมกันทุกชีวิตแบบไหน“3 ปี...กว่าจะถึงวันนั้น รัฐบาลควรจะทำอะไรมากกว่านี้ นึกภาพ... ตอนนี้รัฐบาลเอื้อให้ภาคเอกชน ให้กำไรไม่ลดลง แต่ลึกๆแล้ว...ประชาชนเสียประโยชน์ไหม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย”ตัวเลขงานวิจัยเฉลี่ย 6,120 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ที่ต้องจ่ายซื้อหน้ากาก เครื่องฟอกอากาศที่ซื้อเครื่องหนึ่งใช้ได้หลายปี ถ้าไม่แก้...หรือแก้ช้า ตัวเลขนี้ก็จะเพิ่มขึ้น เพราะอย่างไรเสียคนเราก็ต้องจ่ายเพื่อป้องกันตัวเองคำว่า “เพิ่ม” มองได้สองมิติอีกเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปเงินเฟ้อ ของไม่มีถูกลง มีแต่จะแพงขึ้นอีกมุมมองหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลงก็คือ “โควิด-19” ช่วยให้หน้ากากถูกลง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ช่วยเรื่องอากาศบริสุทธิ์ หน้ากากที่ใช้ต้องมาตรฐาน N95 หน้ากากผ้าราคาถูกกันโควิดก็ใช้กันฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ไม่ได้ ถ้าใช้มาตรฐานกันฝุ่นก็ต้องจ่ายแพงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า อย่างน้อยๆก็ชิ้นละ 60 บาทรัฐบาลแก้ปัญหาแบบก๊าซเฉื่อย ไร้ประสิทธิผลอย่างเช่นที่เป็นอยู่ ปัญหาก็ยิ่งเรื้อรังสะสม ประชาชน...ผู้คนเลี่ยงไม่ได้ที่จะอยู่กับฝุ่น รับฝุ่น เจ็บป่วยแบบผ่อนส่ง ท้ายที่สุดแล้ว...ก็จะมีปัญหาสุขภาพผลที่ตามมาก็คือ “ค่าใช้จ่าย” ในการรักษา ดูแล เยียวยาสุขภาพคนเหล่านี้จะมีเพิ่มอีก “มหาศาล”โดยหลักการแล้ว “ป้องกัน ย่อมดีกว่าแก้ไข” สืบเนื่องจากงานวิชาการก่อนหน้านี้คำนวณไว้ต้นทุนทางสังคมทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่ายในการป้องกันตัวเองจากอุปกรณ์ที่ซื้อ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์มองว่าเป็นต้นทุนขั้นต่ำที่สุด ยังมีต้นทุนอย่างอื่นที่ยังไม่รวม เช่น ค่ารักษาพยาบาล“ฝุ่น PM2.5” เป็นสารก่อมะเร็งกลุ่มหนึ่ง มีโทษร้ายแรง...คิดดูว่าค่าใช้จ่ายคนเป็นมะเร็งคนหนึ่งเป็นแล้วต้องจ่ายเท่าไหร่ เคาะได้ขั้นต่ำ 1 ล้านบาท ประเด็นถัดมา...คนที่ยังไม่ป่วย แต่สะสมฝุ่นจิ๋วไว้ในร่างกายยังไม่แสดงอาการแต่ก็ป่วย ก็ต้องจ่ายค่ารักษา คิดเป็นเงินอีกเท่าไหร่ประเด็นที่สามมองในมิติ “คนป่วย” สมาชิกในครอบครัวก็ต้องมาดูแล เป็นภาระ...มานอนอยู่ในโรงพยาบาลก็เสียโอกาส ที่อดไปทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำงานมีรายได้รายวัน ไม่ทำก็ไม่มีรายได้ เสียโอกาสอีก“ค่าเสียโอกาส” เหล่านี้บวกเข้าไปตัวเลขก็เพิ่มขึ้นไปอีก...นับรวมไปถึงดัชนี “ความสุข” ของแต่ละครอบครัว เมื่อมีฝุ่น PM2.5 ระดับอันตรายมีเด็กอยู่ก็พาไปเล่นนอกบ้านไม่ได้ อยู่กันแต่ในบ้านค่าใช้จ่ายก็เพิ่มอีกเปลืองไฟ...ทั้งค่าแอร์ ค่าเครื่องฟอกอากาศและค่าอื่นๆ...ความสุขหายไปและค่าใช้จ่ายก็งอกเงยเพิ่มขึ้นในทางเศรษฐศาสตร์ภาระเหล่านี้ เรียกกันว่า “ภาระที่ไม่ได้ผ่านตลาด” คนก็ลืมกัน ไม่ค่อยมองเห็นถึงจุดนี้ ซึ่งจริงๆแล้วก็คือภาระที่เป็นต้นทุนทางสังคมทั้งหมดเลย“ตัวเลขภาระนี้เยอะนะครับ ถ้าจำไม่ผิดของคนกรุงเทพฯทุกครัวเรือนปีที่แล้วอยู่ที่ห้าแสนหกหมื่นล้านบาท สมมติว่า...ลดฝุ่นลงได้หนึ่งไมโครกรัม คนยินดีที่จะจ่ายเท่าไหร่ ตัวเลขอยู่ที่ราวๆห้าพันบาทต่อครัวเรือน”อีกปัญหา...บ้านเราใช้ค่ามาตรฐานวัดฝุ่นเฉลี่ยแบบ 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 50 ไมโครกรัม ขณะที่องค์การอนามัยโลกเคาะอยู่ที่ 25 ไมโครกรัม พูดให้เห็นภาพสะท้อนชัดๆก็คือ...อนุญาตให้คนไทยปอดเหล็กกว่ามาตรฐานโลก “คนไทย” ทนฝุ่นได้มากกว่าสากล “คนทั่วโลก” สองเท่าตัว ซึ่งขณะที่อเมริกาก็ใช้อยู่ที่ 35 ไมโครกรัมก็ยังดีกว่าประเทศไทย แต่ก็ได้ยินมาว่ามีแผนที่จะปรับลดมาตรฐาน “ค่าฝุ่น” ลงมาเช่นกัน แต่ก็ต้องใช้เวลาอีก ภาครัฐต้องแยกให้ออก อาจจะกังวลเรื่อง “เศรษฐกิจ” ถ้าปรับลดลงแรงมากไม่มีใครกล้าลงทุน? ถ้าปล่อยมลพิษ โรงงานก็จะมีภาระค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น ปัจจุบันเอาแบบเร่งด่วนวินวินทุกฝ่ายควรต้องมีแผนที่ชัดเจนก่อนสมมติ...อีก 10 ปีข้างหน้าจากนี้ไป “ค่าฝุ่น” จาก 50 ไมโครกรัมปีนี้จะเหลือ 45 ไมโครกรัม...40 ไมโครกรัม...35 ไมโครกรัม ก็คือให้มีเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นการส่งสัญญาณล่วงหน้าให้ทุกภาคส่วนปรับตัวถึงตรงนี้ต้องถามกันตรงๆว่า “รัฐบาล” กับความไม่ชัดเจนวังวนในการแก้ปัญหา “ฝุ่น PM2.5” สไตล์เต่าต้วมเตี้ยม เป็นเพราะไม่เห็นความสำคัญ ไม่เห็นความคุ้มค่า หรือไม่สนใจประชาชนที่ต้องเผชิญปัญหาโดยตรง?“ส่วนหนึ่งที่ผมมอง...ปัญหาฝุ่นไม่เหมือนปัญหาอื่นๆ ปัญหานี้เหมือนเป็นมัจจุราชมืด โดนฝุ่นปุ๊บสูดตอนนี้ยังไม่ตาย เพราะทุกคนก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไม่ได้ตื่นตัวไม่เหมือนกับพายุเข้า ฟ้าถล่ม...กระทบโดยตรงฝุ่นเป็นภัยมืดที่ทุกคนก็เพิกเฉยส่วนหนึ่ง อันที่สองเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ด้วยปัญหาโครงสร้างภาคราชการ มลพิษทางอากาศ ปัญหามาจากไหน...รถยนต์ ป่าไม้ เกษตรที่เผา แต่ไม่มีหน่วยงานไหนในประเทศไทยที่สามารถมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการแก้ปัญหามลพิษเหล่านี้...ส่วนใหญ่ยกภาระให้กรมควบคุมมลพิษ”แล้วกรมเล็กๆจะมีอำนาจแค่ไหน จะบอก...จะสั่งกรม กระทรวงใดให้ทำอะไรได้บ้าง? อย่างไร?วังวน “ฤดูฝุ่น” เป็นเช่นนี้ ยังวนๆเวียนๆอยู่คู่ “คนไทย” เตรียมรับมือกันให้ดีๆเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน.