เมื่อวันที่ 24 ก.ย.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึง ความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาทุจริตคลินิกบัตรทองในพื้นที่ กทม.ว่า ขณะนี้ได้ให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กำชับไปยังสถานพยาบาลและคลินิก ว่าห้ามเก็บเงินกับผู้ป่วยในการขอเวชระเบียนเพื่อนำไปใช้ในการรักษาพยาบาลที่อื่นเด็ดขาด หากใครจะจ่ายในเรื่องนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ต้องเป็นคนรับผิดชอบ เพราะการทุจริตเกิดขึ้นโดยที่ สปสช.เป็นคนตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม อยากให้ประชาชนเห็นใจขณะนี้กำลังพยายามเร่งแก้ไขปัญหาจัดหาคลินิกคู่สัญญาใหม่มาทดแทน แต่ระหว่างนี้อาจขรุขระไปบ้าง เพราะการโกงที่เกิดขึ้นพบเกือบทั้งหมด 100% ปล่อยไม่ได้ สำหรับกรณี พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ เสนอทางแก้ไขปัญหาโดยให้จัดตั้งคลินิกที่เป็นนิติบุคคลมีประชาชนในพื้นที่เขตนั้นๆ เป็นผู้ถือหุ้น เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาการดำเนินงานบริการสุขภาพระหว่างนี้ก็ต้องขอบคุณทราบมาตลอดว่าทางคุณหมอเหรียญทองเสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือ เรื่องนี้ก็จะรับไว้และให้ทาง สปสช.ไปหารือกันต่อไปด้าน ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ขณะนี้ สปสช.อยู่ระหว่างการเพิ่มคู่สายด่วน 1330 จาก 60 คู่สาย เป็น 1 พันคู่สายและกำลังทดสอบระบบ อย่างไรก็ตาม พบว่าที่ผ่านมา มีผู้โทร.เข้ามาสอบถามเกือบ 8 แสนคน แต่ในจำนวนนี้ พบว่ากว่า 7 แสนคน เป็นคนที่ไม่เคยไปใช้บริการรักษาโรคเลย แต่กลัวว่าจะไม่มีคลินิกรับดูแล ทั้งนี้ขอให้ใจเย็นๆ เพราะช่วงนี้เร่งแก้ปัญหาให้คนที่ต้องรับการรักษาต่อเนื่องก่อน โดยกรณีที่ไปรับการรักษาที่สถานพยาบาลอื่นๆนั้น สปสช.จะตามไปจ่ายให้ส่วนกรณีมีรายงานเมื่อวันที่ 23 ก.ย. พบว่ามีการเรียกเก็บค่าขอเวชระเบียนจากผู้ป่วย 4 คน รวม 600 บาทนั้น ขณะนี้ สปสช.ได้ไปเก็บประวัติของผู้มีสิทธิบัตรทองมาไว้ที่ฐานข้อมูล สปสช.แล้ว และเมื่อวันที่ 23 ก.ย. ก็ได้มีการประชุม รพ.ต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว หากประชาชนเซ็นยินยอมเปิดเผยข้อมูลทางสถานพยาบาลที่ผู้มีสิทธิไปใช้บริการ ก็สามารถเปิดข้อมูลเหล่านี้ได้ทางเว็บไซต์ สปสช.ได้เลย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้เกิดขึ้นเฉพาะที่ กทม.เท่านั้น ซึ่งใน กทม.มีคลินิกชุมชนอบอุ่นประมาณ 200 แห่ง โดยมีคลินิกที่พบการทุจริตต้องยกเลิกสัญญาไปแล้ว 82 แห่ง ส่วนลอตหลังที่พบว่ามีความผิด 106 แห่ง ยังไม่ได้ยกเลิกสัญญาอยู่ระหว่างดำเนินการทางกฎหมาย.