หนังสือชื่อ “ครัวไทย” (สำนักพิมพ์พิมพ์คำ พ.ศ.2558) อยู่ใกล้มือผมเป็นนาน...แต่ก็เป็นเช่นทุกเล่ม ที่อาจารย์ ส.พลายน้อย ท่านเขียน ...เปิดอ่านแล้วก็ต้องอ่านต่อหัวข้อเรื่อง “เปิบข้าว” อาจารย์ว่า ดูละครทีวีเรื่องชีวิตไทยสมัยโบราณ (ไม่ใช่เรื่องปลายจวัก ที่ช่องไทยพีบีเอส เพิ่งฉายจบไปไม่นาน) เห็นแล้วเปิบข้าวไม่เป็น เพราะทำมือแบๆการเปิบข้าวด้วยมือ ก็ต้องฝึกสอน เพราะถือเป็นมารยาทในการกิน เขาใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย ตะล่อมข้าวมาให้พอคำ เมื่อยกป้อนเข้าปาก ก็ใช้หัวแม่มือเขี่ยช่วยอีกนิดหน่อยโบราณสอนว่า “กินข้าวแต่พอคำ” ถ้าคำโตเกินไป ก็คับปาก ข้าวจะร่วงพรูลงมา เป็นกิริยาที่ไม่น่าดู ทั้งมีคำสอนกำกับ ห้ามไม่ให้ แลบลิ้นออกมารับ เพราะจะยิ่งไม่น่าดูเข้าไปใหญ่คนแต่ก่อนใช้นิ้วเปิบข้าวเข้าปาก จึงมีธรรมเนียม มีชามเปล่าใส่น้ำไว้ข้างสำรับ เมื่อข้าวติดมือจะจุ่มมือล้าง ให้ดูเรียบร้อย บางคนพอมาถึงก็เอามือจุ่มลงในชามพอเป็นพิธี แล้วก็กิน ทำให้เกิดสำนวน “ชุบมือเปิบ”สำนวนนี้ใช้ได้กับอีกความหมาย ก็มาอยู่ในงานแต่ไม่ช่วยเขาทำครัว พอเสร็จแล้วก็มากิน เป็นการเอาเปรียบ ต่อมาใช้กับพวกที่ถือโอกาสเอาผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวสมัย 70 กว่าปีที่แล้ว อหิวาต์ระบาด รัฐบาลให้ “ครูเหลี่ยม” เขียนประชาสัมพันธ์ “อหิวาต์กำเริบ ล้างมือก่อนเปิบด้วยน้ำประปา ผักดิบผักสด งดเสียดีกว่า หากใช้น้ำท่า จงต้มเสียก่อน”เหมือนสมัยนี้ มีโรคไวรัสโคโรนา...มีประชาสัมพันธ์ว่า กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงจัดให้เจ้านายได้ใช้ช้อนส้อม ตั้งแต่ พ.ศ.2413 พวกเจ้านายชั้นสูงก็เริ่มใช้เป็น แต่เมื่อจะทรงให้พระสงฆ์ ฉันด้วยช้อนส้อมบ้าง เมื่อปี พ.ศ.2441 เวลาห่างมาถึง 28 ปี ผลยังไม่เป็นไปดังพระราชประสงค์มีบันทึกว่า วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2441 ในงานสมโภชพระราชมณเฑียร ได้มีการถวายอาหารบิณฑบาตอย่างใหม่ โปรดให้พระสงฆ์รับพระราชทานฉันด้วยช้อนส้อม อย่างเลี้ยงโต๊ะราชการขณะพระสงฆ์ฉัน...ทอดพระเนตรเห็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (แสง ปัญญาปทีโป) วัดราชบูรณะ ใช้ผ้าหุ้มช้อนส้อมฉัน จึงมีพระราชดำรัสว่า ได้หารือกับกรมหมื่นวชิรญาณวโรรสแล้วว่า ไม่เป็นอาบัติเหตุเพราะพระเคร่งวินัยข้อที่ว่า จับเงินทองไม่ได้ในครั้งเดียวกันนั้น...ก็ทรงสังเกตเห็น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัด เสนีย์วงศ์) วัดพระเชตุพนฯ ไม่ทรงใช้ช้อนส้อม...แต่ใช้หัตถ์รับพระราชทานฉัน ทั้งกรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ก็นั่งนิ่ง ไม่ฉันอะไรเลย เข้าใจว่าไม่ถนัดใช้ช้อนส้อมเรื่องพระฉันช้อนส้อม มีความวุ่นวายมาก สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงเล่าไว้ในสาส์นสมเด็จ (6 พ.ค.2479) ว่า เมื่อครั้งเสด็จกลับจากยุโรป โปรดให้มีการเลี้ยงพระสงฆ์อย่างฝรั่งพระราชาคณะองค์ที่เคร่งครัดวินัย ท่านบอกให้ประเคนมีดช้อนส้อมด้วยถามท่านว่า ประเคนทำไม...ท่านบอกว่าสนิมจะติดเข้าไปกับอาหาร“ก็สังเวช เห็นว่าสำคัญวินัยผิดแท้ๆ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติบทประเคน หมายเพียงของกิน หาได้หมายถึงสิ่งอื่นไม่ เช่นน้ำลายของท่านซึ่งกลืนอยู่วันยังค่ำนั้น ใครจะประเคนให้ได้เล่า”อ่านเรื่องเปิบข้าวของอาจารย์ ส.พลายน้อย แล้ว ผมขอเติมเรื่องที่เคยรู้สมัยบวชว่า วินัย 227 ข้อของพระ มีข้อกินข้าวแต่พอคำ คือคำที่พอเหมาะ รวมถึงข้อเคี้ยวข้าวไม่ให้มีเสียงดังอยู่ด้วยตามพระวินัย แสดงว่าพระสมัยพุทธกาล พระท่านเปิบข้าวเป็น ไม่เป็นข้อให้ฆราวาสครหาวิชาเปิบข้าว...ผมอยากให้สอนคนที่อยู่ในรัฐบาล...เพราะหลายเรื่องฟังเหมือนว่า พวกท่าน “กินข้าวคำโต” บางเรื่องสะดุดตาฝ่ายค้าน ...เขาจะเอาไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาเรื่องชุบมือเปิบ ไม่ล้างมือให้สะอาด ก็เป็นมารยาทที่ควรระวัง ...ทางพระแม้ไม่ผิดวินัย แต่ก็เป็นโลกวัชชะ โลกติเตียนได้เหมือนกัน.กิเลน ประลองเชิง