ในช่วงก่อนถึงเทศกาลวันหยุดยาว “ปริมาณเลือดสำรอง” ในคลังของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มักมีแนวโน้มลดลงเข้าสู่ “ภาวะเลือดขาดแคลน” มาตลอดทุกปี เพราะตามโรงพยาบาลทั่วประเทศ มีการขอเบิกไปใช้ช่วยเหลือผู้ป่วยในกรณีเร่งด่วนโดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ที่มีความจำเป็นใช้โลหิตสูง ในการรองรับกรณีเหตุฉุกเฉินจากอุบัติเหตุทางถนนที่ยังคงมีตัวเลขสูง ตามสถิติเทศกาลปีใหม่ 2561 อุบัติเหตุเกิด 4,005 ครั้ง เสียชีวิต 423 ราย และบาดเจ็บ 3,841 ราย เทศกาลปีใหม่ 2562 เกิดอุบัติเหตุรวม 3,791 ครั้ง ตาย 463 ราย เจ็บ 3,892 รายย้อนดูสถานการณ์คลังโลหิตช่วงเทศกาลปีใหม่ ในวันที่ 25 ธ.ค.2561- 7 ม.ค.2562 มีปริมาณโลหิตรับบริจาครวม 14 วัน จำนวน 24,857 ยูนิต เฉลี่ยวันละ 1,776 ยูนิต ในคลังพร้อมจ่ายรวม 33,725 ยูนิต เฉลี่ยวันละ 2,409 ยูนิต มีการขอเบิกโลหิตรวม 25,221 ยูนิต เฉลี่ยวันละ 2,516 ยูนิตแต่ความสำคัญนี้มีอยู่ว่า...ในแต่ละวันปกติต้องหาเลือดสำรองให้ได้ 2,000-2,500 ยูนิต จึงจะมีเลือดเพียงพอแก่ผู้ป่วย...หากวันใด...หาไม่ได้ตามนี้ ในวันถัดไปเลือดสำรองก็หมดทันที เช่น...ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาว คนส่วนใหญ่มักไม่พร้อมบริจาค และมีความต้องการเลือดมากกว่าปกติอีก ทำให้ต้องมีการประกาศเลือดขาด...ปัญหาการขาดแคลนเลือดในคลังสำรองนี้ ภาวิณี คุปตวินทุ รอง ผอ.ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า การรับบริจาคโลหิตในโรงพยาบาล สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ที่ขึ้นทะเบียนจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ มีหน้าที่ให้บริการรับบริจาคโลหิต ใช้รักษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลตัวเอง และสามารถจ่ายให้โรงพยาบาลใกล้เคียงได้อีกด้าน...ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ ก็มีภารกิจเป็นศูนย์กลาง “รับบริจาค” ในการช่วยเสริมจัดหาโลหิตให้ได้ในปริมาณเพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยตามโรงพยาบาลทั่วประเทศ รวมถึงโรงพยาบาลเอกชน เพราะไม่มีอำนาจให้บริการรับบริจาคโลหิต ทำให้ต้องรับโลหิตจากศูนย์บริการโลหิตฯเท่านั้นโรงพยาบาลเอกชน มีการรับบริจาค ถือว่ามีความผิดตามกฎระเบียบข้อบังคับแพทยสภา... ในสภาวะปกติ...มีผู้มารับบริจาคโลหิตวันละราว 2,000-2,500 รายต่อวัน ในหนึ่งรายสามารถได้เลือดไม่เกิน 1 ยูนิต หรือ 1 ถุง ทุกวันจึงจะมีเลือดเข้าคลังเลือด 2,000-2,500 ยูนิต แต่ก็มียอดเบิกออกค่อนข้างสูงประมาณ 2,500-3,000 ยูนิตต่อวัน คิดเป็นร้อยละ 80 ที่ยังพอสามารถจ่ายเลือดให้ได้ตามจำนวนที่ได้รับบริจาคมาพอดีส่วนอีกร้อยละ 20 ไม่สามารถจ่ายให้ได้ เพราะมีไม่เพียงพอในการขอเบิกเลือด ในจำนวนนี้มีการจัดจ่ายให้มากสุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาภาคกลาง แต่ไม่ได้หมายความว่า...ภูมิภาคนี้ใช้เลือดสิ้นเปลือง...แต่ด้วยความที่มีประชากรสูง ทำให้มีความต้องการเลือดสูงตามมาด้วย...หนำซ้ำ...ในช่วงเทศกาลวันหยุดยาวนี้ เช่น ปีใหม่ สงกรานต์ ปัญหาสำคัญมีว่า...มักมีผู้บริจาคน้อย เพราะประชาชนมุ่งวางแผนในการเดินทางออกต่างจังหวัด ที่ไม่ค่อยสนใจ เรื่องการบริจาคเลือดเท่าที่ควร แต่กลับมีสถานการณ์ขอเบิกโลหิตเพิ่มขึ้นกว่าปกติ เพราะมีการเกิดอุบัติเหตุสูงทำให้โรงพยาบาลต่างเตรียมแผนรับมือกับอุบัติเหตุในช่วงก่อนถึงช่วงเทศกาล 1 สัปดาห์ มักมีการขอเบิกโลหิตสำรองเพิ่มขึ้นสูงจากปกติราว 20 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 500 ยูนิตต่อวัน ส่งผลให้สถานการณ์บริจาคเลือดเข้าและเบิกเลือดออก มีลักษณะสวนทางกันโดยสิ้นเชิง...ด้วยเหตุนี้...ในทุกปีต้องวางแผนเตรียมการรับบริจาคโลหิตกันล่วงหน้า ด้วยการจัดกิจกรรมและรณรงค์ ให้ประชาชนหันมาสนใจบริจาคโลหิตเพิ่มขึ้นจากปกติราว 20 เปอร์เซ็นต์ หรือบริจาคสูงขึ้นกว่าเดิม 500 ยูนิตต่อวัน ให้ยังพอมีโลหิตสำรอง กรณีฉุกเฉินในผู้ป่วยอุบัติเหตุ ในช่วงเทศกาลหยุดยาวนี้...ยกตัวอย่าง...ในช่วงวันที่ 8-14 ธ.ค.นี้ ที่ยังไม่มีกิจกรรมใด...มีจำนวนผู้บริจาคลดลงเหลือประมาณ 1,600-1,700 ยูนิตต่อวัน หากมีกิจกรรมกระตุ้นก็จะเพิ่มขึ้นได้ประเด็นมีอยู่ว่า...ผู้เข้ามาบริจาคโลหิตนี้ไม่สามารถใช้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะในการบริจาคต้องมีขั้นตอนกระบวนการคัดกรองหลายชั้น เริ่มตั้งแต่คัดกรองสุขภาพ ซักประวัติต่างๆ ตรวจโรคประจำตัว โรคโลหิตจาง หรือคุณสมบัติอื่น เช่น น้ำหนักไม่ถึงเกณฑ์ 45 กก. อายุไม่อยู่ในเกณฑ์ระหว่างอายุ 17-70 ปีอีกทั้งต้องไม่มีอาการป่วยเรื้อรัง พักผ่อนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6 ชม. หรือในสัปดาห์ก่อนบริจาค มีอาการท้องเสียต้องกินยาฆ่าเชื้อ หรือใน 1 เดือน เคยรักษาฟัน แบบนี้ก็บริจาคไม่ได้ โดยสามารถบริจาคโลหิตได้ครั้งละ 1 ยูนิต ต่อทุก 4 เดือน น่าสนใจว่าในขั้นตอนคัดกรองตรงนี้มีผู้ไม่ผ่านเกณฑ์ราว 10-15 เปอร์เซ็นต์กระทั่งเข้าสู่ขั้นตอนบริจาคที่ต้องเก็บตัวอย่างเลือด นำวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ มีมาตรฐานตามสากลที่ดีที่สุด มีความแม่นยำสูง 99.9 เปอร์เซ็นต์ ในการค้นหาเลือดที่มีการปนเปื้อนเชื้อไวรัส 4 ชนิด คือ ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี เอชไอวี และซิฟิลิส เพราะมีความจำเป็นที่ต้องทำลายเลือดนี้เมื่อผ่านคัดกรอง...จะมีเลือดปนเปื้อนเชื้อไวรัส ไม่สามารถให้บริจาคได้ประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ทำให้การบริจาคเลือดมีความจำเป็นต้องคัดกรองเข้มงวดหลายขั้นตอน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซึ่งหากรับบริจาคโลหิตมาแล้ว...เรียกว่า “โลหิตรวม” ต้องนำมาปั่นแยกส่วน 3 ประเภท คือ ประเภทหนึ่ง...เม็ดเลือดแดง ประเภทสอง...เกล็ดเลือด และประเภทสาม...พลาสมา (Plasma) หรือน้ำเหลืองเท่ากับว่า...การบริจาคโลหิต 1 ถุง สามารถช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยได้ 3 รายทว่า...เลือดส่วนนี้มีอายุไม่เท่ากัน ในส่วนที่มีอายุสั้นที่สุด คือ...“เกล็ดเลือด”...มีอายุ 5 วัน “เม็ดเลือดแดง”...มีอายุ 35-45 วัน ส่วนใหญ่เม็ดเลือดแดงนี้มักใช้ก่อนหมดอายุ เพราะมีความต้องการใช้สูง อีกทั้ง “พลาสมา”...มีอายุ 1 ปี หากใช้ไม่หมดสามารถนำมาผลิตยา 3 ชนิดได้ด้วย คือ...แฟคเตอร์แปด (Factor VIII) รักษาโรคฮีโมฟีเลีย เอ อิมมูโนโกลบูลิน...รักษาโรคภูมิคุ้มกันต่อต้านตัวเอง และ อัลบูมิน (Albumin) รักษาไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และโรคตับ เพราะพลาสมามีส่วนประกอบสารโปรตีนหลายชนิดสิ่งสำคัญในเรื่อง...“กรุ๊ปเลือด...ยังมีปัญหาขาดแคลน” ที่ไม่ค่อยเพียงพอ คือ กรุ๊ปเลือดเอบี เอ เพราะสัดส่วนประชากรกรุ๊ปเลือดนี้น้อย ในสัดส่วนผู้มีกรุ๊ปเลือดสูงสุด คือ “กรุ๊ปเลือดโอ” สามารถใช้กับกรุ๊ปเลือดอื่นได้ แต่การบริจาคโลหิตสูงสุด กลับเป็น “กรุ๊ปเลือดบี”...หากกรุ๊ปเลือดโอมาบริจาคมากก็ทดแทนกรุ๊ปเลือดขาดแคลนได้ปัจจุบันนี้ในการใช้โลหิต...มีการรับบริจาคมาเท่าไร ก็มีการจัดจ่ายให้โรงพยาบาลต่างๆเท่านั้น มีลักษณะวันต่อวัน คือ...ในวันนี้รับบริจาคเท่านี้...วันถัดไป...ก็ต้องจัดจ่ายให้โรงพยาบาลไปตามที่มีอยู่ เพื่อมีเลือดเก็บสำรอง แต่ไม่ได้หมายความว่า โรงพยาบาลเบิกไปจะใช้เลือดวันต่อวันหมด ในบางแห่งอาจเก็บสำรองไว้ 5-10 วันก็ได้“กลายเป็นสิ่งสำคัญต้องทำให้ประชาชนเข้ามาบริจาคทุกวัน เพื่อให้มีเลือดจัดจ่ายได้ทุกวันเช่นกัน เพราะในคลังเลือดค่อนข้างมีน้อย ฉะนั้นหากวันใดไม่มีการบริจาค จะทำให้มีเลือดจัดจ่ายได้เพียง 1 วัน ในวันถัดไปนั้นอาจไม่มีเลือดจ่ายให้ได้อีก สาเหตุเกิดจากจำนวนผู้บริจาคน้อยกว่ายอดขอเบิกเลือด” ภาวิณี ว่าหากเปรียบเทียบกับอดีต...ก็ยังถือว่ามีจำนวนบริจาคโลหิตเพิ่มขึ้น แต่เพิ่มขึ้นไม่มากเฉลี่ยปีละประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ยอดขอเบิกเลือดกลับมีตัวเลขขยับเพิ่มมากกว่าจำนวนเลือดที่ได้รับบริจาคมาประมาณปีละ 10 เปอร์เซ็นต์เช่นกันขอย้ำว่า...อยากให้ทุกคนช่วยกันบริจาคโลหิตทุก 4 เดือน ในการช่วยคนไทยด้วยกัน ซึ่งยังมีข้อดีหลังบริจาคเลือด คือ จะมีการกระตุ้นให้สร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ ในกระบวนการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงใหม่นี้ ยังช่วยให้เลือดไหลเวียนดี การทำงานของร่างกายดี สุขภาพแข็งแรง ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณสดใส ผิวขาวเป็นประกายขึ้นด้วยการบริจาคนี้ให้มากกว่าคำว่า “บุญ” เหนืออื่นใดนั่นคือ...ได้ช่วยเหลือคนให้มีชีวิตใหม่...