ยังไม่ชัวร์คกก.โหวตเปิดเผยได้ฤกษ์ประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย 22 ต.ค. ยังรอกรมวิชาการเกษตรแทงหนังสือให้พิจารณาแบน 3 สารเคมี ยันถ้ายื่นมาเมื่อไหร่พร้อมบรรจุวาระเสียบพิจารณาทันที ยังไม่ชัวร์เปิดเผยรายชื่อกรรมการโหวตให้สังคมเห็นจะจะ ด้าน “เจษฎา” นักวิชาการชื่อดัง ตำหนิ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รวมทั้งรัฐมนตรีในสังกัดภูมิใจไทย ขาดความรู้ความเข้าใจถึงแก่นสารแต่ละชนิด จนโดนหลอกใช้เป็นเครื่องมือประเด็นการแบน 3 สารเคมีอันตรายที่ใช้ในการเกษตร ได้แก่ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ยังเป็นที่ถกเถียงในวงกว้าง มีทั้งฝ่ายหนุนฝ่ายต้าน กลายเป็นปัญหาหนักอกให้แก่บรรดารัฐมนตรีในรัฐบาลจนล้มหมอนนอนเสื่อไปตามๆกัน ล่าสุดยังรอกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณานายประกอบ วิวิธจินดา รักษาการอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการวัตถุอันตราย เปิดเผยความคืบหน้าการยกเลิกใช้ 3 สารเคมีอันตราย คือ พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอสว่า คณะกรรมการวัตถุอันตรายได้นัดประชุมในวันที่ 22 ต.ค.นี้ โดยมีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ฉบับเดิม พ.ศ.2535 โดยจะพิจารณาวาระต่างๆ ตามที่หน่วยงานต่างๆ ยื่นเรื่องเข้ามาแล้ว เช่น กรอ., กรมปศุสัตว์, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ได้ร่วมกันขอให้คณะกรรมการฯพิจารณากฎหมายลูกที่จะรองรับ พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฉบับใหม่ พ.ศ.2562นายประกอบกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีวาระเรื่องการยกเลิก 3 สาร จากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยื่นเรื่องเข้ามาให้พิจารณา แต่หากยื่นเรื่องนี้เข้ามาก่อนวันที่ 22 ต.ค. คณะกรรมการฯพร้อมจะบรรจุในวาระการพิจารณาทันที แต่ถ้าส่งมาหลังวันที่ 27 ต.ค. พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ จะเปลี่ยนประธานเป็นนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม สำหรับกรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตราย ลงมติแบบเปิดเผยต่อสาธารณชนในการแบน 3 สารเคมี โดยปกติที่ประชุมจะเปิดเผยมติจำนวนเสียงโหวตอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้เปิดเผยรายชื่อคณะกรรมการแต่ละรายว่าออกเสียงอย่างไรจะต้องหารือในที่ประชุมอีกครั้งหนึ่งว่าจะยินยอมหรือไม่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับเรื่องยกเลิก 3 สาร จากกรมวิชาการเกษตร ซึ่งคณะกรรมการวัตถุอันตรายได้แจ้งว่าจะมีประชุมในวันที่ 22 ต.ค.นี้ เชื่อว่ากรมวิชาการเกษตรจะส่งเรื่องเข้ามาพิจารณาทัน โดยการประชุมวันดังกล่าวตนยังไม่ได้เป็นประธาน แต่จะเป็นปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานประชุม ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฉบับเดิม พ.ศ.2535 ส่วนหลังจากวันที่ 27 ต.ค. ซึ่ง พ.ร.บ.วัตถุอันตรายฉบับใหม่มีผลบังคับใช้ ยืนยันว่าพร้อมจะเข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการฯอย่างแน่นอนด้านนายเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์จุฬาฯและนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊กชื่อ Jessada Denduangboripant เป็นจดหมายเปิดผนึกถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ระบุว่า ผมว่าคุณอนุทินและรัฐมนตรีในสังกัด โดนหลอกให้เป็นเครื่องมือในการแบนสารเคมีทางการเกษตรทั้ง 3 ชนิด โดยที่คุณอนุทินได้รับข้อมูลความรู้ที่ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง สังเกตได้จากการให้สัมภาษณ์ของแต่ละท่าน ที่เห็นได้ชัดว่ายังมีความไม่เข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับสารเคมีทั้ง 3 ตัวโดยเฉพาะในการมองว่าสารทั้ง 3 ตัวเป็นสารพิษอันตรายเหมือนกันหมด ต้องแบนให้ได้โดยเร็วเหมือนกันหมด ทั้งๆที่จริงๆแล้ว สารทั้ง 3 ตัวเป็นสารคนละประเภทกัน ระดับความเป็นพิษก็แตกต่างกัน และวิธีการใช้ให้เหมาะสมนั้นก็คนละเรื่องกันด้วย อย่างตัวแรกคือ “คลอร์ไพริฟอส” ซึ่งเป็นยาฆ่าแมลง ที่มีระดับความเป็นพิษปานกลาง ถ้าใช้ไม่เหมาะสม ก็อาจจะมาถึงผู้บริโภคภายหลังได้ อันนี้อยากแบนก็แบนได้เลยไม่มีใครบ่น เพราะยังมียาฆ่าแมลงอีกเป็นร้อยๆชนิดให้ใช้ ยาฆ่าหญ้าที่มีประสิทธิภาพดีและราคาถูกอย่าง “พาราควอต” ซึ่งมีประเทศที่ใช้อยู่ทั่วโลกกว่า 80 ประเทศนั้น ปัญหาไม่ใช่เรื่องการตกค้างมาสู่ผู้บริโภค แต่เป็นเรื่องของการที่มีผู้นำไปใช้กินฆ่าตัวตาย หรือเกษตรกรใช้ผิดวิธี ดังนั้น การแบนพาราควอตจึงเป็นการทำร้ายเกษตรกรที่ใช้สารอย่างถูกต้องอยู่แล้วสำหรับยาฆ่าหญ้าอีกตัว “ไกลโฟเซต” ไม่มีเหตุผลสมควรอะไรเลยที่จะต้องไปแบน เพราะเป็นสารที่มีระดับความเป็นพิษต่ำมาก องค์การอนามัยโลก WHO และองค์การอาหารโลก FAO จัดว่ามันเป็นสารที่ใช้ได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ องค์กรทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแทบทุกองค์กร ก็ยืนยันว่ามันไม่ได้เป็นสารก่อมะเร็ง แทบไม่มีประเทศ ใดเลยที่แบนสารตัวนี้ และมักจะนิยมใช้เป็นทางออกเป็นสารทดแทนเสียด้วยซ้ำ ในกรณีที่จะแบนพาราควอตสิ่งที่อยากเรียกร้องจากคุณอนุทินและรัฐมนตรีในสังกัดก็คือควรจะเปิดรับฟังข้อมูลให้รอบด้าน ไม่ใช่แค่จากคนใกล้ตัวที่ให้ข้อมูลด้านเดียว แล้วทำให้พวกท่านถูกใช้เป็นเครื่องมือในทางที่ผิดได้ ซึ่งสุดท้ายเผือกร้อนนี้ก็จะตกอยู่บนตัวของพวกท่าน และเป็นตราบาปของพรรคของท่านในสายตาของเกษตรกรไทยไปอีกยาวนาน