แฟนานุแฟนคงคุ้นตากับภาพกระบองเพชรขนาดยักษ์สูงตระหง่านแตกกิ่งด้านข้างเหมือนเชิงเทียนหรือคนยืนชูแขนในภาพยนตร์คาวบอยอเมริกัน นั่นละครับคือเจ้าซาวาห์โร หรือซากัวโร ที่คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล โดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน จะนำมาเล่าถึงในวันนี้ซากัวโร (Saguaro) ถ้าออกเสียงให้ถูกต้องตามแบบคาวบอยอเมริกันต้องอ่านว่า “ซาวาห์โร” (sawha-ro) แต่ในไทยเรามักอ่านตามตัวอักษรว่าซากัวโร ก็ขอเรียกแบบที่คล่องปากคนไทยเรานะครับเจ้าแคคตัสยักษ์ชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Carnegiea gigantea เป็นสายพันธุ์ที่มีอยู่เพียงชนิดเดียวโดดเดี่ยวไร้ญาติร่วมสกุล ชื่อสกุลคาร์เนเกียนั้นตั้งให้เป็นเกียรติแด่แอนดรูว์ คาร์เนกี (Andrew Carnegie) อภิมหาเศรษฐีผู้ใจบุญของสหรัฐอเมริกา ซากัวโร. อุทยานแห่งชาติซาวาห์โร (Saguaro National Park) รัฐอริโซนา.ซากัวโรมีถิ่นกำเนิดในทะเลทรายโซนอรัน ในอาณาเขตรัฐอริโซนาและแคลิฟอร์เนียซึ่งเชื่อมต่อไปถึงรัฐโซนอราของเม็กซิโกแคคตัสชนิดนี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งแดนตะวันตกของอเมริกา ถูกนำไปใช้ทำโลโก้หรือสัญลักษณ์ต่างๆมากมาย ด้วยความที่มีลำต้นสูงใหญ่สะดุดตา มีทั้งความงามและความอลังการยากที่จะหาแคคตัสสายพันธุ์ใดมาเทียบได้การถูกเรียกว่าราชาแห่งทะเลทรายอาจทำให้บางท่านเข้าใจว่าซากัวโรคือแคคตัสที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งจะว่าใช่ก็ใช่ หรือจะว่าไม่ใช่ก็ได้เพราะซากัวโรต้นหนึ่งเคยครองแชมป์ที่ความสูง 78 ฟุต ก็ราวๆตึก 7-8 ชั้นเลยล่ะครับ แต่น่าเสียดายที่เจ้ายักษ์ต้นนี้ล้มลงไปเพราะพายุเมื่อปี 1986 ทำให้สถิติสูงที่สุดในปัจจุบันตกไปอยู่กับยักษ์เม็กซิกันคาร์ดอน (Mexican giant cardon) แคคตัสอีกสายพันธุ์ที่มีชื่อวิทย์ว่า Pachycereus pringlei ซึ่งยืนหยัดอยู่ด้วยความสูง 63 ฟุต ส่วนซากัวโรต้นสูงที่สุดในปัจจุบันนั้นสูง 53 ฟุต เป็นสถิติของต้นที่อยู่ในสวนสาธารณะนะครับ ต้นอื่นๆอีกมากมายที่อยู่ในธรรมชาตินั้นยังไม่มีผลสำรวจที่แน่ชัดว่ามีต้นใดที่สูงกว่านี้หรือไม่ นกและแมลงรุมกินน้ำหวานจากดอกซากัวโร. ผลสุกมีเนื้อสีแดงฉ่ำหวาน.หากต้นไทรเป็นนักบุญแห่งป่าฝนเขตร้อน เพราะเป็นที่อยู่ที่กินของสัตว์นานาชนิด ซากัวโรก็คงรับบทเดียวกันในทะเลทรายโซนอรัน ดอกสีขาวขนาดใหญ่ของซากัวโรเป็นแหล่งผลิตน้ำหวานให้กับแมลง ผึ้ง นก และค้างคาว ผลซากัวโรซึ่งมีเนื้อสีแดงฉ่ำหวานเป็นอาหารของทั้งสัตว์ป่าและมนุษย์ กินได้ทั้งแบบสด ตากแห้ง ทำขนม ลูกอม ทำน้ำหวาน และหมักเป็นเหล้ามีบันทึกว่า ชนพื้นเมืองเผ่าปาปาโก และเผ่าโฮโฮคัมใช้ผลซากัวโรเป็นอาหาร ชนเผ่าโตโฮโน โอออดแฮมก็ฉลองการเริ่มต้นฤดูการเพาะปลูกด้วยเครื่องดื่มที่ทำจากผลซากัวโรเพื่อเป็นการเรียกฝน ใช้เมล็ดซากัวโรซึ่งผลหนึ่งมีราวๆ 2,000 เมล็ดเป็นอาหารไก่ และบางครั้งก็ใช้หนามซากัวโรเป็นเข็มเย็บผ้าด้วยลำต้นสูงใหญ่ของซากัวโรเป็นที่อาศัยทำรังของนกหลายชนิด โดยมีนกหัวขวานเป็นผู้เบิกนำเจาะต้นซากัวโรให้เป็นโพรง ทิ้งไว้จนแผลแห้งแล้วจึงทำรัง แต่หลังจากใช้เป็นรังวางไข่แค่ครั้งเดียว เจ้านกหัวขวานก็จะย้ายสำมะโนครัวไปเจาะโพรงสร้างรังใหม่ในฤดูกาลต่อไป โพรงเก่าที่มันทิ้งไว้จึงกลายเป็นที่อาศัยทำรังของนกอื่น เช่น นกฮูก นกฟินช์ นกนางแอ่น นกแก้วเลิฟเบิร์ด นกกระจอก นกเขา ส่วนนกเหยี่ยวและแร้งก็ขนหญ้าและกิ่งไม้มาทำรังวางไข่ตามง่ามกิ่งของซากัวโร เมื่อเหยี่ยวทิ้งรังไปก็มักจะมีนกเรเวนและนกฮูกบางชนิดมาขอสัมปทานจับจองรังไว้ใช้ต่อด้วย นกหัวขวานเจาะโพรงทำรัง. ซากัวโรบูต.ในโพรงที่นกหัวขวานเจาะไว้ ต้นซากัวโรจะสร้างเนื้อเยื่อที่แข็งแกร่งเหมือนเปลือกไม้มารักษาบาดแผล เมื่อผ่านวันเวลาจนต้นซากัวโรล้มตายลงไป เนื้อเยื่อลำต้นอ่อนๆจะเน่าเปื่อยผุพังไปหมด แต่เปลือกแข็งของรอยแผลจะไม่สลายไปง่ายๆ จึงมีสภาพเป็นเหมือนกระบอกไม้ เรียกกันว่ารองเท้าบูตซากัวโร (Saguaro boot) ในอดีตชาวอินเดียนแดงจะเก็บซากัวโรบูตนี้ไว้ใช้ทำกระบอกใส่น้ำ แต่ปัจจุบันการเก็บซากัวโรบูตจากป่าในรัฐอริโซนานั้นผิดกฎหมาย รวมทั้งการทำอันตรายใดๆต่อต้นซากัวโรก็ผิดกฎหมายด้วยเช่นกันภายในลำต้นซากัวโรที่ตายแล้วจะเหลือเนื้อไม้แข็งลักษณะเป็นซี่ยาวๆอยู่อีกด้วย ไม่ได้มีแต่เนื้อนิ่มๆเหมือนกระบองเพชรทั่วไปนะครับ เนื้อไม้แข็งที่ว่านี้เป็นเหมือนโครงกระดูกที่ค้ำจุนลำต้นสูงใหญ่เอาไว้ เพราะซากัวโรต้นโตๆนั้นเวลาดูดน้ำเข้าไปเต็มที่หลังฝนตกอาจมีน้ำหนักมากถึง 6 ตันเลยทีเดียว ส่วนของเนื้อไม้แข็งนี้มักจะแตกเป็นซี่ยาวๆ ในอดีตชาวอินเดียนแดงรวมทั้งคนขาวในยุคบุกเบิกนำมาใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่องใช้ รวมทั้งเลือกท่อนยาวๆมาทำไม้สอยผลซากัวโรด้วยล่ะครับความใหญ่ยักษ์ของแคคตัสชนิดนี้เคยทำให้เกิดอุบัติเหตุพิลึกๆขึ้น เช่น ในปี ค.ศ.1982 ชายผู้หนึ่งนามว่าเดวิด กรันแมน (David Grundman) นึกสนุกใช้ปืนยิงแล้วก็ถีบต้นซากัวโร คงห้าวคันมือคันเท้าอยากจะล้มยักษ์ละมั้ง แต่กลับกลายเป็นว่ากิ่งของซากัวโรต้นนั้นซึ่งประมาณกันว่าหนักถึง 230 กิโลกรัมดันหักร่วงลงบดขยี้ร่างนายเดวิดรวมทั้งรถของเขา...เป็นความตายที่น่าอนาถเสียจริงๆ นกเค้าแมวในรังบนคาคบ. เมื่อยักษ์ล้มทับบ้าน.และเมื่อ 3 มีนาคม ค.ศ.2014 บ้านหลังหนึ่งในกรีน วัลเลย์ รัฐอริโซนา ก็ถูกต้นซากัวโรสูงเกือบ 30 ฟุต โค่นลงมาทับ ทำเอาโรงรถพังพินาศ รถยนต์ 2 คันกับรถกอล์ฟอีก 1 คันถูกทับอยู่ใต้ซากโรงรถและซากต้นซากัวโรที่หักเป็นท่อนๆ โชคดีที่ไม่มีใครได้รับอันตรายวิเคราะห์กันว่าที่ยักษ์เขียวต้นนี้ล้มลงมาก็เพราะดูดน้ำฝนที่ตกลงมาในตอนกลางคืนเข้าไปจนเต็มที่ ซึ่งต้นกระบองเพชรส่วนใหญ่รวมทั้งเจ้ายักษ์ซากัวโรนี้มักจะมีลำต้นเป็นพูหรือมีจีบโดยรอบ เวลาขาดน้ำก็หดตัวฟีบลง เวลาได้น้ำเต็มที่พูก็จะเต่งตึงพองออก แต่ว่าเมื่อน้ำในลำต้นมากเกินไปทำให้รากไม่สามารถค้ำยันลำต้นแสนหนักเอาไว้กับพื้นดินได้ ก็เลยถึงกาลอวสานของยักษ์ใหญ่ต้นนี้...รวมทั้งโรงรถด้วยเห็นซากัวโรต้นใหญ่ขนาดนี้ อย่าคิดว่ามันโตง่ายใหญ่ไวเหมือนพุงผู้เขียนนะครับ ซากัวโรในธรรมชาติที่งอกจากเมล็ดนั้น ใน 8 ปีแรกจะสูงได้แค่ 1-1.5 นิ้วเท่านั้นเอง จะผลิดอกครั้งแรกก็อายุปาเข้าไปตั้ง 35 ปี และกว่าที่มันจะแตกกิ่ง ที่เป็นเหมือนแขนออกมาได้ก็อายุตั้ง 50-70 หรืออาจถึง 100 ปีได้เลยถ้าเติบโตอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งจัดๆโตช้าแถมยังถูกทำลายไปมากมายในอดีต แบบนี้สมควรแล้วล่ะครับที่ต้องออกกฎหมายอนุรักษ์กันอย่างเข้มงวด เพื่อให้เจ้ายักษ์เขียวได้ยืนตระหง่านเป็นราชาแห่งทะเลทรายอยู่คู่โลกนี้ต่อไปอีกนานๆ.ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน โดย : "ปุณณ์"