นอกจากจะไปตามรอย “13 หมูป่า” ที่วนอุทยานถ้ำหลวง–ขุนน้ำนางนอน ที่ อ.แม่สายแล้ว ไปเชียงรายเที่ยวนี้ผมยังมีโอกาสแวะไปที่มหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดของประเทศไทยคือ “มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง” อีกด้วยผมได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานแล้วว่า รอบๆอาณาบริเวณมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งมีพื้นที่ถึง 5,000 ไร่นั้น สวยสดงดงามเหลือเกิน——แต่ยังไม่มีโอกาสแวะเข้าไปชมกับเขาสักที แม้จะไปเชียงรายหลายครั้งหลายหนแล้วก็ตามเพิ่งจะมีโอกาสไปตระเวนอย่างทะลุปรุโปร่งเที่ยวนี้แหละครับไปแล้วเห็นแล้วก็ต้องชูหัวแม่โป้งแบบกดไลค์ยกให้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุดในประเทศไทยจริงๆที่สำคัญจากการตระเวนดูชม และมีโอกาสสัมภาษณ์ผู้รู้ รวมทั้งกลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ทำให้ผมทราบด้วยความดีใจแทนพี่น้องชาวเชียงรายเพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่งว่า...มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ไม่ใช่จะสวยอย่างเดียว ยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่ามีคุณภาพการเรียนการสอนอยู่ในระดับดีมากอีกด้วยเป็น 1 ในมหาวิทยาลัยที่เป็นความใฝ่ฝันของคนรุ่นใหม่ จากทุกจังหวัดของประเทศไทยทำให้จำนวนนักศึกษาจากปีแรกที่เปิดรับมีนักศึกษาเพียงแค่ 62 คน กลายเป็น 12,000 คน เข้าไปแล้วในปัจจุบันถ้านับจากวันสถาปนา 25 กันยายน พ.ศ.2541 มาจนถึงวันนี้ มหาวิทยาลัยแห่งนี้เพิ่งจะมีอายุแค่ 20 ปีเศษเท่านั้น ถ้าเป็นชายไทยก็เพิ่งจะอายุครบอุปสมบทหมาดๆ แต่ 20 ปีเศษของแม่ฟ้าหลวงเหมือนกับเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวมีสำนักวิชาถึง 14 สำนัก สอนหลักสูตรปริญญาตรี 38 สาขา ปริญญาโท 25 สาขา และปริญญาเอก 15 สาขา โดยใช้ “ภาษาอังกฤษ” เป็นภาษาหลักในการเรียนการสอนมาตั้งแต่แรกคำว่า “สำนัก” น่าจะหมายถึง “คณะ” ที่กำลังมาแรงก็คือสำนัก วิชาแพทยศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์แพทย์คล้ายๆโรงพยาบาลขนาดใหญ่ สร้างเสร็จแล้วอยู่นอกมหาวิทยาลัย ริมถนนสายที่จะเข้าสู่ตัวเมืองเชียงรายอีกสำนักซึ่งน่าเรียนและมีผลงานเชิงประจักษ์แล้วด้วย ได้แก่ สำนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ซึ่งมีผลผลิตของมหาวิทยาลัยออกจำหน่ายในแบรนด์ของมหาวิทยาลัยเองในปัจจุบันที่โดดเด่นที่สุดในขณะนี้น่าจะเป็น สำนักจีนวิทยา ครับ เป็นสำนักที่จัดการเรียนการสอนภาษาจีน โดยความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัยเซียะเหมิน จากสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างใกล้ชิดนอกจากนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงยังมี ศูนย์ภาษาและวัฒนธรรมจีน สิรินธร ซึ่งมีการก่อสร้างอาคารในแบบจีนโบราณสวยงามเหมือนยกมาจากเมืองจีนอย่างไรอย่างนั้น เป็นศูนย์รวมของการสอนภาษาและรวบรวมหนังสือเอกสารภาษาจีนเอาไว้ให้นักศึกษาได้ค้นคว้านับหมื่นเล่มในบริเวณเดียวกันก็ยังมีสถาบันขงจื๊อ แห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2554 ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเซียะเหมิน เช่นกันเพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ภาษา วัฒนธรรม และการจัดอบรมภาษาจีน สำหรับครูสอนภาษาจีนที่สถาบันแห่งนี้เนื้อที่ไม่พอแล้วคงต้องรวบรัดหน่อยละ โดยขอสรุปว่าภายในบริเวณเนื้อที่ 5,000 ไร่นั้น มีทั้งหอพักนักศึกษา อาคารเรียน และโรงแรมหรือรีสอร์ต สำหรับพักแรมได้ด้วย เรียงรายอยู่ตามจุดต่างๆอย่างสวยงามเป็นระเบียบและกลมกลืนสภาพแวดล้อมอย่างดียิ่งเมื่อพูดถึงความเจริญก้าวหน้าของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เราคงจะลืมบุคคลท่านนี้ไม่ได้เลยอย่างเด็ดขาดท่านเคยดำรงตำแหน่ง ปลัดทบวงมหาวิทยาลัย มาก่อน และได้ขันอาสามาเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงตั้งแต่แรกตั้ง และก็เป็นมาตลอด โดยอาจจะมีการสลับเป็นท่านอื่นบ้าง แต่ล่าสุดท่านก็กลับมาดำรงตำแหน่งอธิการบดีอีกหนดร.วันชัย ศิริชนะ นั่นเอง ซึ่งมีรายงานข่าวว่า ท่านจะพ้นตำแหน่งในเดือนเมษายนนี้ และจะพ้นอย่างถาวรแล้วละคราวนี้ เพราะอายุอานามของท่านย่างเข้าสู่ 76 ปีแล้วในปีนี้ ถึงเวลาที่จะต้องพักผ่อนขอขอบคุณและขอปรบมือให้ท่าน “ปลัดวันชัย” (ที่ผมเรียกจนติดปากมาตั้งแต่ท่านดำรงตำแหน่งปลัดทบวงที่มหาวิทยาลัย) อีกครั้งหนึ่ง สำหรับความสำเร็จน่าภาคภูมิใจของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงด้วยช่วงเวลาเพียง 20 ปี.“ซูม”