เมื่อวันอาทิตย์ 13 ม.ค. สถานการณ์ “ชัตดาวน์” หรือสภาวะชะงักงันด้านงบประมาณ จนนำไปสู่การปิดทำการสถานที่ราชการบางส่วนของสหรัฐฯทั่วประเทศ กระทบถึงเจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายหน่วยงานจำนวนรวมราว 800,000 คน ไม่ได้รับค่าจ้างแรงงาน ยืดเยื้อเข้าวันที่ 23 ถือเป็นสถิติภาวะ “ชัตดาวน์” ครั้งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยสถิติภาวะ “ชัตดาวน์” ยาวนานที่สุดก่อนหน้านี้คือ 21 วัน สมัยอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน เมื่อช่วงปี 2538- 2539ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ยืนกรานไม่ลงนามอนุมัติผ่านร่างงบประมาณแผ่นดินฉบับใหม่ จนกว่ารัฐสภาจะบรรจุงบประมาณสร้างกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ยาวราว 500 กม. มูลค่าราว 5,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.8 แสนล้านบาท แต่พรรคเดโมแครตฝ่ายค้านรัฐบาลสหรัฐฯปฏิเสธคำร้องขอดังกล่าว ทำให้ผู้นำสหรัฐฯขู่ประกาศ “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” เพื่อนำเงินจากแหล่งอื่นมาใช้สร้างกำแพงความเคลื่อนไหวของผู้นำสหรัฐฯให้สัมภาษณ์ “ฟ็อกซ์นิวส์” ระบุยังไม่ต้องการประกาศ “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” อ้างอยากให้เวลานักการเมืองฝ่ายเดโมแครตพิจารณาตัดสินเรื่องนี้อีกระยะหนึ่ง ขณะที่เหล่า ส.ส.สหรัฐฯ กำหนดประชุมหารือเรื่องนี้ในวันจันทร์ 14 ม.ค.ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ ส่วนผู้นำสหรัฐฯทวีตข้อความอ้างพรรคเดโมแครตสามารถคลี่คลายวิกฤติสถานการณ์นี้ลงได้โดยใช้เวลาเพียง 15 นาที ถ้าพิจารณาบรรจุงบประมาณสร้างกำแพงผลกระทบจากสถานการณ์ “ชัตดาวน์” ทำให้เหล่าลูกจ้างหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯจำนวนมาก รวมถึงเจ้าหน้าที่งานด้านราชทัณฑ์ เจ้าหน้าที่สนามบินหลายตำแหน่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายควบคุมปฏิบัติการจราจรทางอากาศ เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์และเจ้าหน้าที่เอฟบีไอยังไม่ได้รับค่าจ้างมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ ขณะที่สื่อมวลชนสหรัฐฯระบุ ทำเนียบขาวอยู่ระหว่างพิจารณาผันงบประมาณส่วนหนึ่งจาก 13,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่ใช้ช่วยเหลือฉุกเฉินด้านพิบัติภัยแก่เปอร์โตริโก เท็กซัสและแคลิฟอร์เนียเมื่อช่วงปีที่แล้วนำมาใช้สร้างกำแพง.
