โรคไวรัสสมองและปอดอักเสบ ...“นิปาห์” อีกโรคที่ต้องจับตามอง นี่คือสุ้มเสียงสัญญาณเตือนจาก ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์โรคติดเชื้อโรคอุบัติใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย“ไวรัสนิปาห์”...มาจากค้างคาวแม่ไก่ สามารถแพร่โดยตรงไปสู่คนทั้งโดยผ่านน้ำลาย เยี่ยวที่ปนเปื้อนในผลไม้ที่ค้างคาวกัดกิน...คนไปสัมผัส...จากการที่แพร่ไปยังหมู ม้า และคนที่ทำงานใกล้ชิดกับสัตว์อยู่ในโรงฆ่าสัตว์จะสามารถติดไปด้วย นอกจากนี้ยังสามารถแพร่จาก “คน” ไปสู่ “คน”...ได้ในวงกว้าง“คนที่ติดเชื้อจะมีอาการสมองอักเสบเฉียบพลัน หรือเมื่อได้รับเชื้ออาจจะใช้เวลานานกว่าจะเริ่มอาการ หรือเมื่อหายจากอาการเฉียบพลัน แล้วอีกสองปีต่อมา...มีอาการสมองอักเสบเกิดขึ้นใหม่”ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ย้ำว่า ลักษณะสมองอักเสบแบบเฉียบพลันจะเกิดขึ้นจากเส้นเลือดอักเสบ แต่สมองอักเสบที่เกิดขึ้นในภายหลังจะเป็นการอักเสบที่เซลล์สมองโดยเฉพาะที่ผิวเปลือกสมองนอกจากนั้น คนที่ติดเชื้อยังสามารถที่จะแพร่เชื้อได้ดียิ่งขึ้นถ้ามีอาการของปอดอักเสบ และในบางรายอาจจะมีอาการทางปอดเด่นมากกว่าอาการทางสมองศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ทำการศึกษาโรคนี้ สรุปผลรายงานในปี 2548 พบว่า “ค้างคาวไทย” มีการติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการแต่สามารถปล่อยเชื้อไวรัสได้ทางน้ำลาย เยี่ยว และมูลเชื้อไวรัสที่พบเป็นทั้งสายพันธุ์ “บังกลาเทศ” และ “มาเลเซีย” โดยที่การระบาดของสายพันธุ์บังกลาเทศและอินเดีย จะเป็นตามฤดูกาลเฉพาะ...โดยมีความสัมพันธ์กับช่วงเวลาที่ค้างคาวมีการผสมพันธุ์ ออกลูกและลูกกำลังหัดบิน ส่วนสายพันธุ์มาเลเซียจะสามารถปลดปล่อยเชื้อได้ไม่จำกัดฤดูกาลการระบาดของไวรัสนี้เริ่มเป็นครั้งแรกที่ประเทศมาเลเซียในโรงฆ่า และชำแหละหมู ทำให้คนเสียชีวิตไปมากกว่า 100 คน...ต้องกำจัดหมูทิ้งเป็นจำนวนมากกว่า 1,000,000 ตัว จนทำให้โรคสงบลงและมีการป้องกันไม่ให้มีการเล็ดลอดของค้างคาวเข้าไปในฟาร์มหมูหรือม้าที่สำคัญ...ต้องระวังการสัมผัสหรือการกินผลไม้ที่มีรอยกัดแทะ ส่วนการระบาดที่บังกลาเทศที่ต่อกับอินเดียเกิดขึ้นเป็นประจำในบังกลาเทศต่อเนื่องกันทุกปีเป็นเวลานับ 10 ปี...โดยการที่คนกินน้ำอินทผลัมสดโดยที่มีการปนเปื้อนน้ำลายของค้างคาวที่มีเชื้อและมากินน้ำที่ชาวบ้านเก็บใส่ในกระบอก น่าสนใจด้วยว่า การแพร่ของโรคอาจจะเป็นในลักษณะกระจายในวงกว้างต้นตอ 1 คนจะสามารถแพร่ต่อเป็นทอดๆให้ไม่ต่ำกว่า 20 ถึง 30 คน...อัตราการเสียชีวิตของสายพันธุ์บังกลาเทศอยู่ที่ประมาณ 70 ถึง 80%ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ได้ทำการติดตามผู้ป่วยในประเทศไทยที่มีอาการทางสมองหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่เป็นจำนวนหลายร้อยคนนับตั้งแต่ปี 2548แต่...ยังไม่พบว่ามีการติดเชื้อใน “คน”“อย่างไรก็ตาม การที่ค้างคาวสามารถปลดปล่อยเชื้อไวรัสออกมาได้โดยในรังค้างคาว พบว่าไม่ต่ำกว่า 7 ถึง 9% มีการติดเชื้อไวรัส ดังนั้น ต้องมีการเฝ้าระวังการแพร่เชื้อเข้าไปในสัตว์อื่นและเข้าไปในคนที่อาศัยใกล้ชิดอยู่กับบริเวณของรังค้างคาว” ศ.นพ.ธีระวัฒน์ ว่าประเด็นสำคัญที่ต้องกล่าวถึงก็คือ การวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของไวรัส (whole genome) ในประเทศไทย โดยการวิเคราะห์จากเยี่ยวและมูลใต้ต้นไม้ น่าสนใจว่ามีความเหมือนกับของบังกลาเทศเกือบ 100%...ซึ่งการสำรวจนี้เป็นการทำงานร่วมกันของศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพอุบัติใหม่และกรมอุทยานฯ ย้อนไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว คุณหมอธีระวัฒน์ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ แนวคิด “โรคติดเชื้ออุบัติใหม่-อุบัติซ้ำ” เอาไว้น่าสนใจ ด้วยภายในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมามีการตื่นตัวกันมากที่จะรวมสุขภาพ ความสมบูรณ์พร้อมพรั่งของสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก ให้อยู่ในการดูแลร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว ทั้งสุขภาพคน...สุขภาพสัตว์ ที่ผันแปรเปลี่ยนไปตามความอุดมสมบูรณ์... แห้งแล้ง โลกร้อน...บรรยากาศที่ผันผวน ซึ่งกระทบต่อระบบนิเวศเกี่ยวเนื่องกับแหล่งอาหาร พืชพรรณธัญญาหาร ซึ่งเลี้ยงดู “คน” และ “สัตว์” ในวง 4 วง คือ การสาธารณสุข (Public Health), สุขภาพสัตว์ (Animal Health), ระบบนิเวศ (Ecosystem) และ ความปลอดภัย ด้านอาหาร (Food Safety/Security)...ซึ่งภาวะที่คุกคามวงกลม ทั้ง 4 ที่ประสานกันแท้จริงก็เกิดจากการที่รักษาสมดุลของวงกลมทั้งสี่ไว้ได้ไม่มั่น จนนำไปสู่การเกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่...อุบัติซ้ำ...เป็นผลจากการที่เกิดมีการคุกคามด้วยเชื้อโรคใหม่ที่ไม่เคยเห็นหน้าเห็นตามาก่อนหรือแม้แต่เชื้อเก่าที่หายสาบสูญไปแล้วก็กลับโผล่หน้าออกมาใหม่ โดยที่มีการทะลักล้นของสัตว์ ซึ่งสามารถอมโรคอยู่ในตัวโดยตัวเองไม่เจ็บป่วยเกิดเพิ่มปริมาณมากขึ้น และขยายขอบเขตรุกล้ำเข้าไปในเขตอาณาบริเวณใหม่ และ...ด้วยความที่มีตัวช่วย เช่น ยุง แมลง เห็บ ไร ริ้น จะนำพาเชื้อโรคจากตัวอมโรคเข้าไปในสัตว์อีกกลุ่มเพื่อเป็นที่เพาะพันธุ์เชื้อโรคเหล่านี้ให้งอกงามในตัว จากนั้น...“ตัวช่วย” ก็จะมากัดเก็บเชื้อที่เต็มปรี่ในตัวเพาะพันธุ์ กลับมาปล่อยสู่ “สัตว์” หรือ “คน” อีกต่อหนึ่ง“โรคที่เกิดในคนนี้แท้จริงมีต้นกำเนิดมาจากสัตว์เกือบทั้งนั้น แต่หลังจากผ่านกระบวนการติดเชื้อผ่านสัตว์สู่สัตว์ชนิดเดียวกันและต่างชนิด ตัวแล้วตัวเล่า...ผ่านตัวนำเชื้อมาสู่คนจนทำให้มีการพัฒนารูปแบบของการติดเชื้อในคนที่ชัดเจนเป็นระเบียบ...มีการตายของคนที่เป็นระบบ เป็นแบบแผน สามารถตรวจซ้ำในสัตว์ทดลองและได้ผลคงที่ และในที่สุด...ก็มีการติดต่อจากคนสู่คนสำเร็จ”ตัวอย่างเชื้อเหล่านี้ เช่น เชื้ออีโบลา ปี 2519 มีต้นตอจากค้างคาว...ไวรัสเอดส์ ปี 2524 ต้นตอจากลิง...เชื้ออีโคไล (O157:H7) ปี 2525 ที่คร่าชีวิต และก่อให้เกิดการเจ็บป่วย เม็ดเลือดแดงแตก ไตพัง ...เส้นเลือดสมองตีบในยุโรปก็มาจากวัวควาย ถัดมา...โรคไลม์ ปี 2525 เกิดอัมพาต สมอง อักเสบ หลงลืมเลอะเลือนคล้ายอัลไซเมอร์ มีเหตุมาจากกวาง...เชื้อไวรัสสมองอักเสบเฮนดรา ปี 2537 และ นิปาห์ ปี 2541 มาจากค้างคาว... เชื้อวัวบ้า ปี 2539 ต้นตอจากแกะ สู่วัวและเข้าสู่คน...ไวรัสพิษสุนัขบ้าสายพันธุ์ออสเตรเลีย ปี 2539 จากค้างคาว...ไข้หวัดนก (H5N1) ปี 2540 จากนก เป็ด ไก่...โรคซาร์ส ปี 2546 จากค้างคาวสู่ชะมด และแพร่สู่คน และ เชื้ออีโบลา เรสตัน (Ebola Reston) เกิดที่ประเทศฟิลิปปินส์ในลิง ซึ่งไม่น่าตื่นเต้นเพราะไม่ติดคน แต่ก็เริ่มตื่นตัว เพราะในปี 2552 ทำให้เกิดโรคในหมู แม้คนจะไม่ติดโรคก็ตาม แต่เป็นหลักฐานว่า “มันมาแล้ว”...ข้ามสายพันธุ์และที่โลกยังไม่ลืมคือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มาจากนก สู่หมู และจากสายหมูหลายสายทำให้แพร่สู่คน และคนไปคนได้จากตัวอย่างที่น่ากลัวเหล่านี้ เป็นเครื่องตอกย้ำที่ต้องมีการเฝ้าระวังติดตามเชื้อที่อยู่ในสัตว์จนมาถึงคนอย่างเป็นระบบอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะมักมีความเข้าใจว่า...โรคเหล่านี้จะเกิดขึ้น นานๆครั้ง ทุกๆ 2-4 ปีก็จะสงบ หรือบูมเป็นช่วงๆ เพราะฉะนั้นความตื่นตัวเป็นแค่ชั่วขณะ เหมือนไฟไหม้ฟางย้ำว่า! ตื่นตัวดีกว่าตื่นตูม...ป้องกันวางแผนเตรียมรับมือแต่เนิ่นๆ ดีกว่าวัวหายแล้วมาเร่งล้อมคอก.