ฟีนิกซ์ (Phoenix) เป็นนกวิเศษตัวหนึ่ง เป็นนกในจินตนาการที่มีผู้คนชื่นชอบอย่างมาก มากขนาดที่ว่ามีการกล่าวถึงไว้ในหลายวัฒนธรรม ทั้งในตะวันตกและตะวันออก ตั้งแต่ย่านทะเลเมดิเตอเรเนียนตะวันออก อียิปต์ ไปจนจดจีน เพียงแต่เรียกต่างกัน แต่มีคุณสมบัติอย่างเดียวกัน หรือไม่ก็แตกต่างกันไม่มาก สิ่งเดียวที่บรรดาฟีนิกซ์ในต่างชื่อและต่างถิ่นเหมือนกันแน่ คือมันเป็น “อมตะ” เป็นเครื่องหมายของความเป็นอมตะ และวันนี้คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์ สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนจะพาแฟนานุแฟนไปรู้จักนกตัวนี้กันนามนกฟีนิกซ์ซึ่งเป็นที่แพร่หลายนั้นเป็นนามของกรีก อธิบายกันว่า มันเป็นนกตัวผู้ขนาดใหญ่ขนาดใกล้เคียงกับนกอินทรี แต่มีนิสัยอ่อนโยน เป็นมิตรกับมนุษย์ แต่ที่แปลกยิ่งกว่าแปลกคือมันเป็นสมาชิกเพียงตัวเดียวของวงศ์วานฟีนิกซ์ ก็คือมีเพียงตัวมันเท่านั้นครับ ไม่มีตัวอื่นไว้สืบกอต่อพันธุ์แต่อย่างใดรูปร่างของมันก็มีการเล่าแตกต่างกันอีก (ทั้งที่มีอยู่ตัวเดียวนี่แหละ) ด้วยเหตุที่มันอาจเป็นญาติโยมของนกยูงและเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ จึงมีสีขนนกที่สอดคล้องกับไฟ ไม่ว่าสีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีทอง บางตำนานของกรีกเองก็ยังว่ามันมีสีแดงอมม่วง สีม่วง (แบบม่วงกษัตริย์) ไปถึงแดงเข้ม ขนตั้งแต่หัวลงมาถึงคอเป็นสีทอง บ้างก็ว่าตัวมันสีแบบเดียวกับลูกพลัม โดยที่ขนหลังกับขนปีกสีแสด หัวสีทองและหางมีสีแดงกุหลาบสลับกับสีน้ำทะเล ความแตกต่างของสีนี่ละครับจึงทำ ให้คิดว่ามันอาจจะมีการผลัดขนหลายครั้งในช่วงชีวิตแสนยาวนานของมัน ประติมากรรมนกเฟิ่งหวงบนหลังคาวัดอาจจะด้วยความงามนี้ละมัง จึงชนะใจมวลหมู่มนุษย์เรื่อยไปกระทั่งชนะใจเทพเจ้า ขนาดมีเรื่องเล่าในตำนานกรีกเกี่ยวกับนกฟีนิกซ์ไว้ว่า เมื่อเทพอพอลโลได้เห็นความงามและความสง่าของนกนี้ก็พอใจมาก ถึงขนาดยกให้มันเป็นนกประจำพระองค์ทีเดียว แถมยังให้พรเป็น “อมตะ” อีกต่างหากตามตำนานเทพเจ้ากรีก ฟีนิกซ์อาศัยอยู่ในอาระเบียบริเวณแหล่งน้ำที่มีอากาศเย็น ยามอรุณรุ่งมันจะส่งเสียงหวาน ร้องเพลงรับแสงอาทิตย์อรุณไปพร้อมกับการเล่นน้ำในยามเช้า อาหารโปรดของมันคือสายลมอ่อนๆ น้ำอมฤต น้ำค้าง หรือหมอกบริสุทธิ์ที่ลอยขึ้นมาจากแม่น้ำและทะเล เพลงของนกฟีนิกซ์มีพลังเวท แม้แต่เทพเจ้าอพอลโลก็หยุดราชรถ (พระอาทิตย์) เพื่อฟังเสียงร้องเพลงของมันเพลงของฟีนิกซ์สร้างกำลังใจและกระตุ้นความกล้า–หาญให้แก่ผู้ทำคุณความดีในยามที่จิตท้อแท้ ในทางตรง กันข้าม มันจะกลายเป็นเสียงน่าสะพรึงในจิตใจของผู้คิดชั่วร้าย น้ำตาของนกฟีนิกซ์มีพลังในการรักษาบาดแผลและชุบชีวิตได้ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่มันจะหลั่งน้ำตาให้ใคร ยกเว้นคนคนนั้นจะมีคุณงามความดีมากและยังสมควรจะอยู่บนโลกเท่านั้นเจ้านกตัวนี้มีกระบวนการเป็นอมตะที่พิสดารมาก นั่นคือ พอมันอายุแก่ได้ที่ราว 500 ปี ร่างกายของมันก็โทรมลง ไร้เรี่ยวแรงจะร้องเพลงขับกล่อมเทพเจ้าได้เช่นเดิม มันรู้ว่าแม้เป็นอมตะไม่ตาย แต่ร่างกายเหี่ยวเฉาก็ไม่มีประโยชน์ และแล้วมันก็บินกลับรังของตัวเองในแถบอาระเบีย ระหว่างทางเที่ยวเก็บไม้หอมนานาชนิดไปด้วย ภาพนกฟีนิกซ์จากหนังสือในช่วงศตวรรษที่ 17-18.พอถึงที่หมายมันก็เริ่มสานรังอันจะเป็นเชิง ตะกอนของตน ครั้นแล้วมันก็ร้องขอเทพให้ปรานี พลันท้องฟ้าก็ปั่นป่วน แล้วสายฟ้าก็ฟาดลงบนรังของเจ้าฟีนิกซ์ เกิดเป็นไฟลุกท่วม นกแก่ไม่หนี มันปล่อยให้เพลิงเผาผลาญร่าง เปลวไฟลามเลียเผาไหม้นกจนกลายเป็นเถ้าถ่านกองพูน เวลาผ่านไปไม่นาน ภายในกองเถ้าถ่านนั้นก็เกิดลูกไฟรูปร่างเหมือนไข่ลุกเรืองค่อยๆ สว่างขึ้นๆ จนสุดท้ายดวงไฟก็แตกออก กลายเป็นฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่โผออกมาจากใต้กองขี้เถ้าสิ่งแรกที่นกเกิดใหม่กระทำ คือการบินไปสู่เฮลิโอโพลิส เทวาลัยแห่งดวงอาทิตย์ในอียิปต์ เพื่อประกาศชีวิตใหม่ นำเถ้าถ่านและซากร่างที่เหลือห่อในยางไม้เมอร์ เป็นมัมมี่ซากร่างเดิมของมัน ไปวางบูชาไว้บนแท่น แล้วจึงบินกลับฟีนีเชีย อาศัยอยู่อีกหลายศตวรรษกว่าจะเป็นนกใหญ่แก่เต็มที่ ถึงเวลาเปลี่ยนร่างใหม่อีกครั้ง มันก็จะวนกลับมาที่เดิม สร้างรังจากแขนงไม้เครื่องเทศ เสร็จแล้วลงไปอยู่ในรังนั้นกระพือปีก ทันใดนั้นก็จะเกิดไฟลุกท่วมรังโดยไม่ต้องรออพอลโลบันดาลเปลวเพลิงเหมือนคราวแรก พอไฟกองนั้นมอดลง นกฟีนิกซ์หนุ่มก็จะปรากฏขึ้น วนเวียนไปอย่างนี้ไม่สิ้นสุดเบนนู (Bennu) นกนี้มาจากตำนานเทพของอียิปต์โบราณ เป็นวิหคแห่งตะวัน ซึ่งเป็นต้นเค้าของฟีนิกซ์อย่างชัดเจน ดังนักวิชาการในศตวรรษที่ 19 ยืนยันจากการค้นพบบันทึกในนครเฮลิโอโพลิสของอียิปต์ ว่ามีความคล้ายคลึงกับนกฟีนิกซ์ของกรีกอย่างยิ่งนกเบนนูในอียิปต์ ไม่สวยจนเลอเลิศเหมือนฟีนิกซ์ของกรีก แต่เป็นนกกระสาสีเทา สีม่วง สีน้ำเงิน หรือสีขาว จะงอยปากยาวและขนหงอนสองเส้น ทรงมงกุฎโอสิริส เทพผู้สิ้นพระชนม์แล้วฟื้น (ส่วนภาพที่ไม่ค่อยเห็นบ่อย จะเป็นรูปนกเบนนูมีรูปร่างเป็นคน หัวเป็นนกกระสา ใส่ชุดสีขาว หรือสีฟ้าแบบมัมมี่ภายใต้เสื้อคลุมยาวโปร่งใส)ตามตำนานอียิปต์ เบนนู บินผ่านน่านน้ำของนันซึ่งมีอยู่ก่อนการสร้างโลกไปเกาะบนก้อนหินก้อนเดียว ที่เรียกว่า เบนเบน ซึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำท่ามกลางวังน้ำหมุนวนในการสร้างโลกครั้งแรก แล้วมันก็ส่ง เสียงเรียกธรรมชาติแห่งการสร้างให้ตื่นขึ้น เสียงร้องของนกเบนนูนั่นเองที่เป็นเครื่องหมายของการเริ่มต้นกาลเวลา นกเฟิ่งหวงหรือหงส์จีน.แต่ตำนานกำเนิดของนกเบนนูยังมีต่างจากนี้ด้วย เช่นบ้างก็กล่าวว่า นกเบนนู ระเบิดออกมาจากหัวใจของโอสิริส บ้างก็ว่าเบนนูสร้างตัวเองจากไฟซึ่งไหม้บนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในเขตศักดิ์สิทธิ์ของวิหารแห่งเทพรา ส่วนในตำนานแห่งเมืองเฮลิโอโพลิส นครแห่งดวงอาทิตย์ เบนนู คือนกศักดิ์สิทธิ์ของเฮลิโอโพลิส หนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของอียิปต์โบราณ เป็นวิญญาณของเทพรา เทพแห่งดวงตะวัน เกี่ยวข้องกับตะวันขึ้นและตะวันลับ น้ำท่วมไนล์ และวงจรแห่งการเกิดและการคืนชีพอีกอย่างหนึ่งอาจจะด้วยเหตุที่นกเบนนูเป็นอมตะ หรือในที่นี้เป็นเครื่องหมายแห่งความตายแล้วฟื้นนี่เอง นกเบนนูก็เลยกลายเป็นต้นเค้าสำคัญของฟีนิกซ์กรีกแน่ๆ กระนั้น เรื่องนกวิเศษ สวยงามล้ำเหลือก็ไม่ได้หยุดอยู่ในอารยธรรมฟากตะวันตกเท่านั้น นกแบบนี้ยังมีอยู่ในภาคตะวันออกคือจีนด้วย ต่างกันตรงที่ ฟีนิกซ์จีนมาจากความเชื่อของจีนเอง ไม่ได้รับอิทธิพลมาแต่อย่างใด ฟีนิกซ์จีนนี้ เป็นนกที่คนไทยคุ้นกันดี ชื่อของมันคือ เฟิ่งหวง ชื่อนี้คนไทยไม่คุ้นหรอกครับ เพราะเราเรียกนกนี้ว่า หงส์ (จีน)หงส์ (จีน) เฟิ่งหวง นกวิเศษวงศ์นี้เป็นนกอมตะแท้จริง ไม่แก่เฒ่าและตายเพื่อจะเกิดใหม่อีกครั้งเหมือนนกฟีนิกซ์ แถมยังมีสมาชิกหลายหลาก มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย เป็นสัตว์มงคลชนิดที่ใครได้พบก็เท่ากับว่ามีโชคลาภใหญ่หลวงว่ากันว่า เฟิ่งหวงปรากฏตัวครั้งแรกในสมัยจักรพรรดิจีนหวงตี้ ประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสต์ศักราช (เช่นเดียวกับกิเลน-ยูนิคอร์นของจีน) สัตว์ชนิดนี้ปกติแล้วไม่ปรากฏตัว แต่มันจะมาให้คนเห็นก็ต่อเมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่มีสันติภาพและความมั่งคั่ง หรือบริเวณสถานที่มีความสุข ความสงบ และความเจริญรุ่งเรือง หรือไม่ก็เมื่อมีจักรพรรดิผู้มีความเมตตาองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์รูปร่างลักษณะโดยทั่วไปก็นับว่าแปลกใช้ได้ ก่อนนี้ว่ากันว่าหงส์มีจะงอยปากไก่โต้ง ใบหน้านกนางแอ่น คองู อกห่าน และหลังเต่า ขาหลังจากกวาง และหางปลา แต่ปัจจุบันเพิ่มเติมให้ซับซ้อนอีกนิด กลายเป็นมีหัวเป็นไก่ฟ้า ตัวเป็นเป็ดแมนดาริน หางนกยูง ขานกกระเรียน ปากนกแก้ว และปีกนกนางแอ่น ขนหงส์เป็นสีสันสดใสดั่งสีเพลิง ขนหางประกอบด้วยห้าสีศักดิ์สิทธิ์ คือดำ ขาว แดง เหลืองและเขียว (บางที่ว่าน้ำเงินหรือฟ้า) การเผาตัวเองของฟีนิกซ์ ภาพวาดสมัยศตวรรษที่ 12.ตำนานจีนเชื่อว่า มันเป็นหนึ่งในสี่สิ่งมีชีวิตแห่งสวรรค์หลังการสร้างโลก เพราะสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนหนึ่งสำหรับสิ่งมีชีวิตแต่ละอย่าง มีเต่าดำครองสวรรค์ทิศเหนือและฤดูหนาว เฟิ่ง–หวงแดงปกครองสวรรค์ส่วนภาคใต้ซึ่งเป็นตัวแทนฤดูใบไม้ร่วง มังกรเขียวครองทิศตะวันออกและฤดูใบไม้ผลิ ยูนิคอร์น (บางตำราว่าเสือขาว) ครองทิศตะวันตกและฤดูร้อนสำหรับที่อยู่บนโลก ชาวจีนก็เชื่ออีกว่ารังเฟิ่งหวงอยู่ไกลจากมนุษย์ถึงเทือกเขาคุนลุน บนต้น หวู ถัง ไม่กินแมลงที่มีชีวิต ไม่จิกกินต้นไม้อ่อนที่ยังเขียวสด กินแต่เพียงเมล็ดดอกต้นไผ่ และน้ำหวานที่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น เฟิ่งหวงทั้งตัวผู้และตัวเมียสามารถร้องเพลงเป็นทำนองหวานตามโน้ตห้าตัวของจีน และกล่าวว่า เพลงของมันเป็นพื้นฐานสำหรับสเกลดนตรีจีนชื่อเฟิ่งหวง มาจากนามเรียกหงส์สองตัว เฟิ่ง–หวงมาจากคำผสมจาก เฟิ่งใช้เรียกนกตัวผู้ ส่วนหวงใช้เรียกนกตัวเมีย อาจจะด้วยเหตุนี้ในสมัยต่อมา จึงเริ่มต้นเห็นภาพฟีนิกซ์จีนคู่หนึ่งวางตัวสลับกัน หางยาวของมันจับกันเป็นลักษณะวงกลม ตามลักษณะหยินหยาง ทำให้เกิดความหมายต่อไปว่า ตัวผู้คือหยาง เป็นตัวแทนของวงจรพลังงานแสงอาทิตย์และฤดูร้อน ส่วนตัวเมียคือหยิน เป็นวงจรแห่งดวงจันทร์ นกเบนนูของชาวอียิปต์โบราณ.เฟิ่งหวงคือจักรพรรดิแห่งนก เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดินี เข้าคู่กับมังกรซึ่งเป็นตัวแทนจักรพรรดิ นกอื่นๆทั้งหมดจะบินตามมันเพื่อแสดงความจงรักภักดีคุณลักษณะ อันเป็นมงคลทั้งหลายหลากนี่เอง คนจีนเลยชอบนำรูปหงส์มาใช้แทนความหมายมากมาย รูปหงส์ที่ใช้ในการตกแต่งบ้านก็เป็นสัญลักษณ์ว่า ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์จะเกิดกับผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่น และรูปหงส์คู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมียรวมกันเป็นสัญลักษณ์ของความรักอมตะอีกด้วย.โดย :คอสมอสทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน