การทำ “บายพาส” หรือ Coronary Artery Bypass Grafting : CABG ซึ่งเป็นการผ่าตัดต่อเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ เพื่อทำทางเบี่ยงเสริมหลอดเลือดบริเวณที่ตีบหรือตันทำให้เลือดผ่านส่วนที่ตีบหรือตันได้ดีขึ้น เป็นเทคนิคที่มีมานานแล้วในอดีตแม้จะเป็นการผ่าตัดเพียงเพื่อทำทางเบี่ยงให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ดีขึ้น แต่ในระหว่างที่ทำการผ่าตัด ก็จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมมาช่วย ซึ่งหมาย ความว่า ระหว่างที่ทำการ ผ่าตัดอยู่นั้น หัวใจ ของคนไข้จะหยุดเต้นไปช่วงหนึ่ง ซึ่งอาจจะมีความเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน ขาดเลือด ที่ส่งผลต่อระบบการทำงานของปอด ไต และสมองได้ล่าสุด มีเทคนิคใหม่ในการผ่าตัดบายพาสหัวใจโดยที่หัวใจไม่ต้องหยุดเต้น และไม่ต้องใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump Coronary Artery Bypass Grafting) ซึ่งช่วยลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเมื่อหัวใจหยุดเต้นได้ และยังช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้เร็วขึ้นด้วย นพ.วิฑูรย์ ปิติเกื้อกูล รอง ผอ.ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ อธิบายถึงข้อดีของการผ่าตัดบายพาสด้วย เทคนิคหัวใจไม่หยุดเต้น (Off–Pump CABG) ว่า อย่างแรกเลยคือ ลดอัตราการเสียชีวิตจากการผ่าตัดหัวใจบายพาสแบบเดิม ที่จำเป็นต้องหยุดหัวใจเพื่อที่จะใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนแทนปอด“การใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมปั๊มเลือดเข้าไปเลี้ยงร่างกายในระหว่างการผ่าตัด อย่างหนึ่งเลยคือ ความดันโลหิตอาจไม่เป็นไปตามปกติ จากที่ประมาณ 120/70 อาจจะอยู่ที่ประมาณ 60-65 ในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบในช่วงที่ทำการผ่าตัดบายพาสหากความดันโลหิตต่ำอาจส่งผลต่อระบบการหมุนเวียนเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) อัมพฤกษ์ อัมพาตได้” คุณหมอวิฑูรย์บอกที่น่าเป็นห่วงคือ กลุ่มของผู้สูงวัยที่มีเส้นเลือดในสมองตีบและเคยป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบ การผ่าตัดบายพาสหัวใจด้วยเทคนิคใหม่ที่ไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม เป็นผลดีต่อการรักษาอย่างมาก ช่วยลดโอกาสไตวายและการล้างไตในผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตไม่ค่อยดีนัก ลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยที่หัวใจบีบตัวไม่ค่อยดี รอง ผอ.ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก รพ.หัวใจกรุงเทพ บอกว่า ข้อดีอีกอย่าง คือ เสียเลือดน้อย เพราะไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจหยุดเต้น (On-Pump CABG) หรือการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจไม่หยุดเต้น (Off-Pump CABG) จำเป็นต้องให้ยาละลายลิ่มเลือดขณะผ่าตัด (Heparin) ซึ่งหากทำการผ่าตัดแบบหัวใจไม่หยุดเต้น ที่ไม่ใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม การใช้ยาละลายลิ่มเลือดจะน้อยกว่าการผ่าตัดแบบหัวใจหยุดเต้นถึง 3 เท่า และทำให้เสียเลือดน้อยกว่าถึง 70% และไม่ต้องให้เลือดเพิ่มขณะผ่าตัด“เมื่อไม่เสียเลือดมาก สิ่งที่ตามมาอีกอย่างก็คือ การฟื้นตัวของผู้ป่วยจะเร็วขึ้น การผ่าตัดบายพาสด้วยเทคนิคหัวใจไม่หยุดเต้น ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีน้อยกว่าการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจหยุดเต้นมาก เพราะการใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียม อาจทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่างกายได้มากกว่า”คุณหมอวิฑูรย์ ให้ข้อมูลว่า ระหว่างการทำผ่าตัดแบบหัวใจหยุดเต้นเลือดจะต้องผ่านเครื่องปอดหัวใจเทียมเพื่อเพิ่มออกซิเจนแล้วกลับไปในตัวผู้ป่วยอีกครั้ง ซึ่งทำให้มีเลือดออกมากผิดปกติหลังผ่าตัด การฟื้นตัวและการทำงานของหัวใจก็อาจจะลดลงหลังผ่าตัดด้วย “ในกรณีที่เป็นการผ่าตัดแบบหัวใจไม่หยุดเต้นปัญหาเหล่านี้จะหมดไป และ 80% สามารถนำเครื่องช่วยหายใจออกจาก ผู้ป่วยได้ทันทีหลังจากผ่าตัด ในขณะที่การผ่าตัดแบบหัวใจหยุดเต้น ผู้ป่วยจะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจหลังผ่าตัดอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง”ซึ่งข้อดีของการนำเครื่องช่วยหายใจออกได้เร็ว คุณหมอวิฑูรย์ บอกว่า จะช่วยลดปัญหาแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ ทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น เพราะอวัยวะต่างๆ ทำงานตามปกติ กลับไปใช้ชีวิตได้เร็วยิ่งขึ้นเมื่อถามถึงผลการรักษาด้วยการผ่าตัดทั้งสองแบบ คุณหมอวิฑูรย์ บอกว่า ในระยะยาวนั้นผลการรักษาไม่แตกต่างกัน แต่อย่างที่บอกการผ่าตัดบายพาสด้วยเทคนิคหัวใจไม่หยุดเต้น จะส่งผลข้างเคียงน้อยกว่าการผ่าตัดบายพาสแบบหัวใจหยุดเต้น โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรเป็นการผ่าตัดรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือในการรักษาแบบครบวงจรจะเป็นการดีที่สุด.