กระแสการวิ่งเพื่อสุขภาพ และการวิ่งเพื่อระดมทุนในการช่วยเหลือโรงพยาบาล องค์กรต่างๆได้กลายมาเป็นเทรนด์ฮิตของผู้คนในยุคนี้ไปแล้ว โดยเฉพาะในรอบปีที่ผ่านมา หลังจากมีโครงการวิ่งรณรงค์ระดับประเทศ ได้ส่งผลให้เกิดกระแสการวิ่งฟีเว่อร์ลามไปทั่วประเทศในกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยแม้การวิ่งจะมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเผาผลาญไขมัน ดีต่อสุขภาพหัวใจ ดีต่อผู้ที่เป็นความดันโลหิตต่ำ ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ ช่วยคลายเครียดทำให้รู้สึกอารมณ์ดี เนื่องจากระหว่างการวิ่งร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข และสารภูมิต้านทานต่างๆของร่างกายมากขึ้น ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง แต่ก็มีสิ่งที่ต้องระวังอยู่ไม่น้อยในการวิ่งแต่ละครั้ง โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน จะต้องมีการเตรียมความพร้อมของร่างกาย หากจะลุกขึ้นมาเริ่มต้นวิ่ง เพราะอาจส่งผลต่อร่างกายได้ที่ต้องระวังมากที่สุด คือ กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญและทำงานอย่างหนัก อาจทำให้ร่างกายสึกหรอและเกิดภาวะอักเสบได้ ทั้งกล้ามเนื้อและข้อต่อส่วนขา ตั้งแต่กระดูกสันหลัง สะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อต่อในเท้าจำนวนมากที่ต้องรับน้ำหนักหรือแรงกระแทกหลายเท่าของภาวะปกติ โดยขณะที่การวิ่งหรือการกระโดดแต่ละครั้ง จะมีแรงกระทำกับกระดูกและข้อได้ถึง 10 เท่าของน้ำหนักตัว ซึ่งถือว่าเป็นแรงผ่านที่สูงมากสำหรับข้อที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับขนาดร่างกาย บางคนลุกขึ้นมาคว้ารองเท้าแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตามกระแส โดยไม่ได้เตรียมร่างกายหรือศึกษาข้อควรระวังก่อนวิ่ง อาจเกิดอาการบาดเจ็บได้ ที่พบบ่อยคือ อาการเจ็บเข่า อันตรายต่อข้อ ขณะวิ่งออกกำลังกาย ซึ่งร่างกายเราต้องใช้อวัยวะและระบบต่างๆ เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวและรับน้ำหนักตัวแม้ในภาวะปกติระบบภายในร่างกายจะมีการสร้างเสริมซ่อมแซมตัวเองได้เมื่อมีการใช้งานสึกหรอ เช่น กระดูกอ่อน ผิวข้อเส้นเอ็นพยุงเข่า หมอนรองกระดูก หรือแม้กระทั่งกระดูกบริเวณจุดเกาะเส้นเอ็นต่างๆ แต่หลังการออกกำลังกายอย่างหนักก็ยังจำเป็นต้องมีช่วงเวลาพักฟื้นร่างกายและดูแล สุขภาพตัวเองอย่างถูกวิธีด้วยข้อปฏิบัติง่ายๆก่อนการวิ่ง เช่น ยืดเส้นยืดสายก่อนและหลังการวิ่ง, จัดท่าวิ่งให้ถูกวิธี, ฝึกการหายใจที่ถูกต้อง, วิ่งด้วยความเร็วที่เหมาะสม และควรมีระบบตรวจจับสัญญาณเตือนภัย เช่น หากวิ่งไปแล้วมีอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ รู้สึกหายใจไม่ทันหรือหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก หากมีอาการเกิดขึ้นควรชะลอความเร็ว เปลี่ยนเป็นเดินแล้วหยุดพัก แล้วค่อยๆจิบน้ำ หากยังไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์ ฯลฯ ประเด็นเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้แต่นักวิ่งหรือผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ยังเคยมีอันตรายเกิดขึ้นในระหว่างการวิ่งหรือออกกำลังกายมาแล้วนักกีฬาบางคนมีการใช้ข้อเข่าที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่วัยหนุ่มสาว ร่างกายก็อาจสึกหรอและเกิดภาวะอักเสบได้ โดยเฉพาะผู้ที่อ้วน หรือมีปัญหาโรคข้อเข่าเสื่อม ไม่แนะนำให้ออกกำลังกายที่มีการกระแทกน้ำหนักอย่างรุนแรง สัญญาณสำหรับอาการข้อเข่าเสื่อม ที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการปวด ผู้ป่วยมักปวดมากขึ้นเวลาใช้งาน นอกจากนี้ อาจมีอาการข้อยึดและติด ถ้าเป็นมากการเหยียดงอเข่าจะลดลงทำให้เคลื่อนไหวลำบากนอกจากการรักษาด้วยยาแล้วอาจใช้ผลิตภัณฑ์ทางธรรมชาติบางอย่างเข้ามาช่วยดูแลปัญหาข้อเสื่อม ซึ่งปัจจุบันมีการพบว่า คอลลาเจนไทพ์ทู (UC-II) ซึ่งเป็นคอลลาเจนชนิดเดียวกับที่พบในเซลล์กระดูกอ่อนบริเวณข้อสามารถนำมาช่วยเสริมสร้างสุขภาพข้อเข่าได้ มีการศึกษาวิจัยทางคลินิก พบว่า การรับประทานคอลลาเจนไทพ์ทูขนาด 40 มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของส่วน ประกอบที่อยู่ในข้อ โดยกระตุ้นให้มีการสังเคราะห์เซลล์ใหม่เพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มระดับของสาร Hyaluronic acid ซึ่งเป็นส่วนประกอบของน้ำหล่อเลี้ยงในข้อ และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ย่อยสลายน้ำหล่อเลี้ยงข้อ จึงช่วยลดอาการปวดข้อและข้อยืดได้ ทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายดีขึ้น รวมทั้งยังได้ผลดีในผู้ที่ออกกำลังกายโดยเพิ่มประสิทธิภาพในการยืดองศาของเข่าได้ดีขึ้น เพิ่มระยะเวลาการออกกำลังกายในการวิ่งบนลู่วิ่งที่ปรับความชันได้นานกว่าก่อน ที่มีอาการเจ็บถึงสองเท่า นอกจากนี้ สารคอลลาเจนไทพ์ทูยังมีประสิทธิภาพลดอาการของโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดีกว่าสารสกัดสูตรผสมของกลูโคซามีน และคอนดรอยติน โดยมีความปลอดภัยสูงและไม่พบผลข้างเคียงการดูแลสุขภาพของกระดูกและข้อ จึงถือเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ ยิ่งถ้าต้องการลุกขึ้นมาออกกำลังกายแล้วล่ะก็...สำรวจสุขภาพข้อของคุณก่อนสักนิด... จะปลอดภัยกว่า.