ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันอังคาร ข้าราชการไม่เป็นอันทำงานกันทั้งทำเนียบ ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลงมาเลย เพราะ กระทรวงวัฒนธรรม เชิญคณะผู้ทำละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” จาก ช่อง 3 พร้อมด้วย 3 คู่พระคู่นางไปพบนายกฯ มีพี่หมื่นสุนทรเทวา กับ แม่หญิงการะเกด ออกหลวงสุระสงครามคอนสแตนติน ฟอลคอน กับ แม่มะลิ–ท้าวทองกีบม้า และหมื่นเรืองราชภักดี กับ แม่หญิงจันทร์วาดนายกรัฐมนตรี แม้จะบอกว่าไม่ได้ชมละครเรื่องนี้ แต่ก็ “อิน” กับ ผู้แสดงละครเรื่องนี้อย่างมาก ให้เวลากับคณะบุพเพสันนิวาสก่อนประชุม ครม.กว่าครึ่งชั่วโมง และยังเป็นไกด์นำชมห้องประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยตัวเองในห้องประชุม ครม. นายกฯตู่ ไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปด้วย แต่มีข่าวว่า นายกฯตู่ ให้ดาราทั้ง 6 คน สลับนั่งเก้าอี้นายกฯ ให้แนะนำตัวเองในบทละครผ่านไมโครโฟนของนายกฯ งานนี้ หนุ่มโป๊ป–ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ หมื่นสุนทรเทวา เมื่อแนะนำตัวเสร็จก็พูดท่อนหนึ่งในบทละครว่า “ทำงานขี้คร้านตัวเป็นขน ตั้งใจทำงานกันนะออเจ้า” ทำเอารัฐมนตรีหัวเราะกันลั่นห้องประชุม ครม. งานนี้ผมว่าหนุ่มโป๊ปแซวได้เจ็บจริงๆ เพราะบางกระทรวงผลงานขี้คร้านตัวเป็นขนเลยทีเดียว แต่เจ้ากระทรวงกลับหัวเราะไม่รู้ตัวหลังพบ นายกฯตู่ เรียบร้อย คู่พระคู่นางทั้ง 6 จากละครบุพเพสันนิวาส ต่างโพสต์ลงอินสตาแกรมชื่นชม นายกฯตู่ เป็นการใหญ่ว่า เป็นกันเอง น่ารัก แถม แม่หญิงการะเกด ยังบอกว่า ถ้าท่านนายกฯโอเค หนูก็โอเคค่ะ ลุงตู่สู้ๆค่ะ งานนี้ถือว่าวินวินด้วยกันทั้งคู่ แต่ลุงตู่น่าจะวินมากกว่า เพราะแฟนละครมีมากกว่าแฟนลุงตู่เยอะละคร บุพเพสันนิวาส ต้องชมทั้งผู้เขียน “รอมแพง” (ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่นของ เซเว่นบุ๊คอวอร์ดปี 2553) และ ผู้เขียนบทละคร ที่ได้ทำการบ้านมาอย่างดี จึงสามารถนำประวัติศาสตร์สมัย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช มาเขียนเป็นนิยายและทำเป็นละครที่สนุกสนานจนติดกันงอมแงมทั้งบ้านทั้งเมือง แต่งกายย้อนอดีตกันมากมายเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งในเรื่องนี้ก็คือ นโยบายต่างประเทศ ของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ 360 กว่าปีก่อน ที่แต่งตั้งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส โดยมี ออกพระวิสุทธิสุนทร (เจ้าพระยาโกษาธิบดีปาน) เป็นราชทูต ออกหลวงกัลยาราชไมตรี เป็นอุปทูต ออกขุนศรีวิสารวาจา หรือ หมื่นสุนทรเทวา เป็นตรีทูต ภายหลังกลับจากฝรั่งเศสแล้ว หมื่นสุนทรเทวา ได้รับการอวยยศเป็น ขุนศรีวิสารวาจาการไปฝรั่งเศสสมัยเมื่อ 360 กว่าปีก่อน ต้องไปทางเรือเพียงทางเดียวเท่านั้นคณะทูตออกจาก กรุงศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2228 จากแม่น้ำเจ้าพระยาสู่อ่าวไทย ผ่านช่องแคบมะละกาไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮปในทวีปแอฟริกา ผ่านสเปน โปรตุเกส ไปขึ้นฝั่งที่ เมืองแบรสต์ ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2229 ใช้เวลาเดินทางเกือบ 6 เดือน และต้องเดินทางอีก 600 กม. เพื่อไปเข้าเฝ้า พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ พระราชวังแวร์ซาย เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2229 ทุกวันนี้ เมืองแบรสต์ ยังมีถนนชื่อ Rue de Siam ที่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ คณะราชทูต ของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชคณะทูตจากอยุธยา ได้รับการยกย่องชื่นชมจากฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ พระเจ้าแผ่นดินฝั่งตะวันออก แต่งตั้งคณะราชทูตไปยังฝรั่งเศส พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โปรดให้ทำเหรียญที่ระลึกและเขียนรูปเหตุการณ์เอาไว้เป็นจำนวนมากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมีพระราชสาส์นถึง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตอนหนึ่งว่า “...ราชทูตของพระองค์นี้ รู้สึกว่าเป็นคนรอบคอบ รู้จักปฏิบัติราชกิจของพระองค์ถี่ถ้วนดีมาก หากมิฉวยโอกาสนี้เพื่อเผยแพร่ความชอบแห่งราชทูตของพระองค์บ้าง ก็จะเป็นการอยุติธรรมไป เพราะราชทูตได้ปฏิบัติล้วนถูกใจเราทุกอย่าง โดยแต่น้ำคำที่พูดออกมาทีไร แต่ละคำก็ดูน่าปลื้มใจ และน่าเชื่อถือทุกคำ...” พระราชสาส์น ของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี้ ทำให้ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ได้ชื่อว่าเป็น “ราชทูตลิ้นทอง” คนแรกการชนะด้วยการทูต เป็น ตำราพิชัยสงครามที่ดีที่สุด ที่ยังใช้กันอยู่ทุกวันนี้.“ลม เปลี่ยนทิศ”