เป็นความอึดอัดการปรับโครงสร้างตำรวจของอดีตนายตำรวจที่เป็นคณะกรรมการตามคำสั่งรัฐบาล คนที่มาเป็นคณะกรรมการไม่อยากเป็น และการประชุมที่เครียด เพราะต้องมาต่อสู้ให้ตำรวจรุ่นน้องในที่ประชุมใหญ่มีกรรมการฝ่ายตำรวจกึ่งหนึ่ง 13 คน ฝ่ายคนนอก 13 คน นอกจากนั้นเป็นปลัดกระทรวงต่างๆ ส่วนใหญ่มองตำรวจไม่ค่อยดีคณะกรรมการที่เป็นตำรวจต้องคอยชี้แจงเหตุผล และตอบโต้ ความจำเป็น อุปสรรค โดยเฉพาะเหตุผลเรื่องที่ไม่ให้อัยการมาควบคุมงานสอบสวน จนคณะกรรมการบางคนไม่ขอร่วมประชุมในคณะอนุกรรมการ ในที่ประชุมคณะอนุกรรมการครั้งที่แล้วโหวตลงมติกัน ฝ่ายตำรวจมี 2 เสียง แต่ฝ่ายที่ให้อัยการร่วมสอบสวนมี 6 เสียงสรุปฝ่ายตำรวจแพ้มติที่ประชุมฝ่ายตำรวจต่อรองว่า กรณีที่อัยการจะเข้ามาร่วมขอให้เป็นแบบกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ คดีต้องเข้าหลักเกณฑ์ 6 ข้อ ผู้เสียหายหรือผู้มีส่วนได้เสียร้องเรียนไปยังคณะกรรมการ จะชี้ขาดสมควรให้อัยการมาร่วมหรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยอัยการเลือกคดีเอาเองเมื่ออัยการมาร่วมมี 3 ระดับ 1.เข้ามาให้คำแนะนำ 2.เข้ามาร่วมสอบปากคำและมีความเห็นแนบในสำนวนได้ 3.กรณีที่จะให้อัยการมาควบคุมการสอบสวนขอให้อัยการรับสำนวนไปทำตั้งแต่ต้น อย่ามาให้ตำรวจเป็นลูกน้อง ทุกคนมีเกียรติเท่ากัน ที่ประชุมให้อัยการรับสำนวนไปทำด้วยตนเอง แต่ผ่านที่ประชุมใหญ่และเสนอรัฐบาล เสนอกฤษฎีกาแก้ ก.ม.หลายขั้นตอนส่วนเรื่องโครงสร้างงานสอบสวน ที่ประชุมเห็นตามที่คณะกรรมการฝ่ายตำรวจเสนอ จะมีงานสืบสวนสอบสวนควบกัน เข้าเวรแทนกัน ได้เจริญก้าวหน้าการประเมินตั้งแต่ รอง สว.จนถึง รอง ผบก. และขึ้นเป็น ผบก. ถึง ผบช. ฝ่ายสอบสวนคุมการสอบสวน หัวหน้าสถานีจะมาสั่งคดีไม่ได้ เว้นแต่พนักงานสอบสวนบิดสำนวนและมีการร้องเรียนหัวหน้าสถานีจะมีความเห็นแนบสำนวนได้ แต่ไม่ใช่หัวหน้าพนักงานสอบสวน คณะกรรมการทีมปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ อย่าให้ตำรวจต้องลงมาเป็นเบ๊หน่วยอื่นเลยพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ ถ้าคิดเอาอัยการมาสั่งมาควบคุมจะโดนต่อต้าน และกรรมการฝ่ายตำรวจจะลงมาร่วมต่อต้านด้วย ถ้าไม่ไว้ใจตำรวจ ขอให้ทางอัยการเอาคดีไปทำเลยตั้งแต่วินาทีแรกเป็นความรู้สึกของอดีตนายตำรวจที่เติบโตสั่งสมประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมาตลอดชีวิตราชการ มีส่วนร่วมปฏิรูปโครงสร้างตำรวจ เป็นเสียงส่วนน้อยในคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจเป็นปากเสียงชี้แจง “คนนอก” ที่ไม่เข้าใจและมีอคติกับตำรวจ“เพลิงพยัคฆ์”pluengpayak@thairath.co.th