ปัจจุบันโลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างแท้จริง แต่ปัญหาหลักที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นควบคู่กับความล้ำยุค ก็คือการผลิตสื่อปลอมที่เสมือนจริงอย่างน่าทึ่ง หรือที่รู้จักกันในชื่อ Deepfakes ซึ่งกลายเป็นประเด็นใหม่ที่วนเวียนอยู่ในสังคมดิจิทัล และทำให้ยากที่จะแยกแยะว่าสิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือการสร้างปลอม 

Deepfake หมายถึงสื่อที่ถูกสร้างหรือดัดแปลงด้วย AI ให้มีความสมจริงสูง เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ หรือเสียงที่เลียนแบบบุคคลจริงอย่างแนบเนียน สื่อเหล่านี้เป็นรูปแบบหนึ่งของสื่อสังเคราะห์ (Synthetic Media) ที่ทำให้ผู้คนทั่วไปแยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม

เทคโนโลยี Deep Learning และ Generative AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วมีบทบาทสำคัญในการทำให้การปลอมแปลงดังกล่าวเข้าถึงง่ายและแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การสร้างข่าวเท็จ  การละเมิดความเป็นส่วนตัว หรือการฉ้อโกงผ่านข้อมูลดิจิทัล

การพัฒนาเทคโนโลยีนี้เริ่มเป็นที่จับตาตั้งแต่ปี 2560 เมื่อมีการเผยแพร่วิดีโอที่ใส่ใบหน้าคนดังลงในเนื้อหาลามกโดยไม่ได้รับอนุญาต จากจุดนั้นเป็นต้นมา เทคโนโลยีการจำลองภาพและเสียงก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว ด้วยโมเดลที่แม่นยำขึ้น มีแหล่งข้อมูลถูกฝึกฝนจำนวนมหาศาล และเครื่องมือที่หาได้ทั่วไป

...

ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถสร้างเนื้อหาที่ดูเหมือนจริงได้ในต้นทุนต่ำ ภายในปี 2568 คาดว่าจะมีเนื้อหาในลักษณะนี้แพร่กระจายมากกว่า 8 ล้านชิ้นทั่วโลก

ภัยคุกคามจากการเลียนแบบแบบสมจริงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการบันเทิง  แต่ลุกลามไปทุกมิติของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการ กลั่นแกล้งบุคคลธรรมดา  การปลอมคำพูดของผู้นำประเทศ  การหลอกลวงด้วยเสียงที่เลียนแบบได้อย่างแม่นยำ ไปจนถึงการทำลายชื่อเสียงของบุคคลผู้บริสุทธิ์จนทำให้เกิดคำถามว่า สังคมควรรับมือกับความท้าทายนี้อย่างไร

หนึ่งในแนวทางที่ได้รับความสนใจ คือข้อเสนอของประเทศเดนมาร์กในการปรับแก้กฎหมายลิขสิทธิ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถควบคุมและปกป้องลักษณะเฉพาะของตนเอง  ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า เสียง หรือรูปลักษณ์ในโลกดิจิทัล

โดยให้นิยามชัดเจนถึงเนื้อหาที่สร้างเลียนแบบบุคคลจริง และมอบสิทธิ์ให้ผู้เสียหายสามารถร้องขอให้ลบเนื้อหาเหล่านั้นจากแพลตฟอร์มออนไลน์ พร้อมบทลงโทษต่อผู้ให้บริการที่เพิกเฉยต่อคำร้องนั้น

ในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะเริ่มมีบางรัฐ เช่น เทนเนสซี ที่ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้สิทธิ์ในภาพลักษณ์และเสียงของบุคคล แต่โดยรวมกฎหมายลิขสิทธิ์ยังคุ้มครองเฉพาะผลงานที่มีการสร้างสรรค์โดยมนุษย์ ซึ่งทำให้บุคคลทั่วไปยังเผชิญกับข้อจำกัดในการปกป้องตนเองจากการถูกเลียนแบบ

ภาคเอกชนเองก็พยายามหาทางรับมือ เช่น บริษัท Metaphysic ได้เสนอแนวทางให้บุคคลสร้างตัวตนดิจิทัล (AI Avatar) ของตนเองแล้วจดลิขสิทธิ์ไว้  หากมีการละเมิดก็สามารถใช้สิทธิ์ทางกฎหมายในการเรียกร้องให้ถอดเนื้อหาดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากกฎหมายแล้ว ด้านเทคโนโลยีก็มีการพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ตรวจจับความผิดปกติของสื่อ เช่น อัลกอริทึมวิเคราะห์เมตาดาทา (Metadata)  การฝังลายน้ำดิจิทัล  และการติดฉลากให้กับเนื้อหาที่สร้างโดย AI หลายฝ่ายยังเรียกร้องให้มีมาตรฐานสากลร่วมกัน เพื่อจัดการกับสื่อปลอมได้อย่างเป็นระบบและทั่วถึง

ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการสร้างทักษะรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) ให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อให้สามารถตั้งข้อสงสัยกับเนื้อหาที่บริโภค ไม่หลงเชื่อสิ่งที่เห็นหรือได้ยินในทันที การฝึกให้ผู้คนมีวิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลก่อนเชื่อถือ จะเป็นเกราะป้องกันที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว

ปรากฏการณ์เนื้อหาจำลองที่สมจริงจนแยกไม่ออกนี้ เป็นบททดสอบสำคัญของยุค AI ว่ามนุษย์จะสามารถควบคุมเครื่องมือที่ตนเองสร้างขึ้นได้มากน้อยเพียงใด หรือจะตกเป็นเหยื่อของความจริงปลอมที่เราหลงเชื่อด้วยสายตาและหูของตัวเอง.

...

คลิกอ่านคอลัมน์ “บทความไซเบอร์เน็ต” เพิ่มเติม