ปมพฤติกรรม “กลุ่มวายร้ายคราบ นักบุญ” ในการ “เรี่ยไรเงินบริจาค” ที่มีอยู่เกลื่อนทั้ง “ในโลกออนไลน์” และเดินตามท้องถนน ไม่ว่าจะเป็น “มูลนิธิเถื่อน” หรือ “พระเก๊” นั่งรถกระบะตระเวนแจก “ซองผ้าป่า” ขอเงินร่วมทำบุญจากชาวบ้านกันบ่อยๆด้วยสาเหตุเพราะ “เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ” มักเป็น “คนใจบุญ” มีน้ำใจโอบอ้อมอารี ที่เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก “ต้องช่วยเหลือ” กลายเป็นช่องว่างให้ “มิจฉาชีพ” ฉวยโอกาสก่อเหตุจาก “ความมีน้ำใจนี้หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง” สร้างความเดือดร้อนรำคาญ และสร้างความเสื่อมเสียให้กับ องค์กร วัดและศาสนามาอย่างต่อเนื่องทั้งที่คนทั่วไป...ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า...คนมาแห่เรี่ยไรนี้...เป็นของจริง หรือของปลอม...จนมาถึงยุคสมัยนี้ “การเรี่ยไรบริจาคเงิน” เปลี่ยนไปตามเทรนด์เทคโนโลยี โดยเฉพาะ “เฟซบุ๊ก” ถูกใช้เป็นช่องทางยอดนิยมพากัน “โพสต์เรื่องดราม่า” เรียกคะแนนความสงสาร ในการเปิดรับบริจาคเงิน เพื่อช่วยเหลือ หรือสนับสนุนกิจกรรมการกุศล ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม...เพื่อให้เกิดการแชร์ไปในพื้นที่โซเชียลฯ ให้เรื่องขยายไปเรื่อยๆ ส่งผล ให้ “เงินบริจาค” ก็เข้ามาแบบไม่ขาดสาย ด้วยการใช้ “สมาร์ทโฟน” เป็นเครื่องมือ ที่มีลักษณะ “กดโอนเงินได้ง่าย” ตั้งแต่หลักสิบจนถึงหลักร้อยบาท ทำให้ “คนไม่ดี” ใช้ช่องทางนี้หากินมากขึ้น จากการได้รับบริจาคคนละนิดคนละหน่อย กลายเป็น “เงินก้อนโต” ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ในบางรายได้รับบริจาคถึงหลักล้านบาทก็มี...ในทางกฎหมายของการเรี่ยไรเงินขอรับบริจาคนี้ คมเพชญ จันปุ่ม หรือ “ทนายอ๊อด” ทนายความอิสระ บอกว่า ในอดีตการเรี่ยไรเงิน หรือการขอบริจาคเงินตามท้องถนน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ ประการแรก...กลุ่มอ้างเป็นอาสามูลนิธิฯ ออกเรี่ยไรเงินทำบุญช่วยเหลือศพไร้ญาติ ซื้อโลงศพส่วนใหญ่เป็น “บุคคล” ไม่มีสำนักงานชัดเจน ที่มีการปลอมแปลงเอกสารแอบอ้างขึ้นมา ตั้งแต่ใบจดทะเบียนจัดตั้งมูลนิธิฯ ใบเสร็จรับเงินบริจาค ใบอนุโมทนาบัตร เพื่อแสดงเป็นหลักฐานหลอกรับบริจาคอีกทั้งยังมี “เรี่ยไรแทน” ที่รับมอบอำนาจจากมูลนิธิฯ จดทะเบียนจัดตั้งถูกต้อง แต่เป็นมูลนิธิฯขนาดเล็ก ลักษณะไปในทาง “กึ่งขาวกึ่งเทา” ด้วยการเดินเรี่ยไรเงิน และหักค่าใช้จ่ายกินเปอร์เซ็นต์เป็นรายได้...ประการที่สอง...“พระสงฆ์” มีรถกระบะติดเครื่องขยายเสียง “ขอเรี่ยไร เงิน” นำไปสร้างศาลา ออกเดินแจก “ซองผ้าป่า หรือใบฎีกา” มีตราประทับ จากวัดเสมือนจริง เมื่อตรวจสอบกลับไม่พบข้อมูล และไม่มีหน่วยงานราชการใดอนุญาตในการเรี่ยไรเงิน...มีข้อสังเกตปกติทั่วไป...“พระสงฆ์” มีกำหนด “โกนผม” เดือนละ 2 ครั้ง ก่อนวันขึ้น 15 ค่ำ และก่อนวันแรม 15 ค่ำ เพื่อเตรียมสวดมนต์ในตอนเช้าวันพระ ดังนั้น “พระสงฆ์แท้” ต้องดูเรียบร้อยเป็นระเบียบเหมือนกัน ทุกรูป หากมี “พระ” ออกเรี่ยไรมีลักษณะผมไม่สั้นเรียบร้อย ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า “เป็นพระเก๊”...กลุ่มที่ว่ามานี้มีรายได้จากการเรี่ยไรเงินเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2,000–3,000 บาทต่อวันด้วยซ้ำ...จริงๆแล้ว...ในการขอรับบริจาค หรือเรี่ยไรนี้ มีหลักเกณฑ์ขั้นตอน การขออนุญาต ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 แต่น้อยคนจะรับทราบกัน ทำให้เป็นช่องให้ “มิจฉาชีพ” ตระเวนหลอกลวงกันมากมายการขออนุญาตนี้ “มูลนิธิฯ วัด หรือบุคคล” ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานภาครัฐ ในสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่ต้องมีเอกสารรับรอง ระบุชื่อบุคคล สถานที่ วิธีการ การกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการเรี่ยไร และระยะเวลาสิ้นสุดชัดเจน มีวิธีการเก็บรักษา หรือทำบัญชีเงิน อย่างละเอียดถูกต้องมิเช่นนั้น...อาจเป็นการแสดงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะการเรี่ยไรเงินตามบ้านนี้บางคนก็มองว่า เป็นเรื่องการทำบุญ แต่ก็มีบางคนเห็นเป็นสิ่งน่ารำคาญ สร้างความเดือดร้อน ถ้าหากไม่มีกฎหมายห้ามไว้ ก็จะไม่มีความผิด เว้นแต่จะไม่ได้เรี่ยไรจริง แต่สมอ้างแต่งเรื่องมาหลอกลวงชาวบ้านกรณีเช่นนี้อาจเป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกง หรือข้อหาอื่นได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละเรื่องไป ทำให้ “การขอรับบริจาค” หรือ “เรี่ยไรเงิน” ก็กลายเป็น “การหลอกลวง” หรือ “การเจตนาในการฉ้อโกง”...ตามความผิด ป.อ. ม.341...ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท ถ้ามีการหลอกผู้อื่นตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก็เป็นความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” ตาม ป.อ. ม.343 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท แล้วแต่กรณีประเด็นสำคัญ...การที่จะดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกง หรือฉ้อโกงประชาชน จำเป็นต้องมี “ผู้เสียหาย” แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน เพื่อเข้ามาเป็นพยานร่วมในการดำเนินคดีนั้น แม้ว่า “ไม่มีผู้เสียหาย” ก็ตาม เบื้องต้นตำรวจก็ยังสามารถนำ พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 มีโทษทั้งจำและปรับมาบังคับใช้ได้เช่นกันตาม ม.6...หากไม่ขออนุญาตมีโทษปรับไม่เกิน 200 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ และตาม ม.19 เมื่อได้รับบริจาคมาแล้วก็ต้องทำตามวัตถุประสงค์ของการรับบริจาคด้วย หากนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับเช่นเดียวกับ...“ขอบริจาคเงินผ่านออนไลน์” ในการทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ เพื่อช่วยเหลือสังคม คนยากไร้ ผู้ได้รับความเดือดร้อน เช่น องค์กรศาสนา องค์กรการศึกษา องค์กรการกุศลสาธารณประโยชน์ ที่เป็นในลักษณะการขอบริจาคเงิน หรือสิ่งของจำเป็นช่วยเหลือให้แก่บุคคลธรรมดาผ่านช่องทางสื่อโซเชียลมีเดียในเรื่องนี้ยังต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 เช่นกัน กล่าวคือ...ก่อนเรี่ยไรเปิดรับบริจาคเงินนั้นก็ต้องมีการขออนุญาตทำการเรี่ยไรในสื่อสาธารณะ จากกรมการปกครอง ที่ต้องระบุวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน กำหนดวิธีการที่จะทำการเรี่ยไร และไม่สามารถเดินเรี่ยไรตามหมู่บ้านได้แม้แต่ “บุคคลธรรมดา” ต้องการเงินช่วยเหลือด้วยฐานะยากจน หรือต้องการเงินเร่งด่วนนำไปรักษาคนใกล้ชิดแล้วโพสต์ข้อความภาพในลักษณะ ชักชวนขอรับบริจาค ก็ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายที่กำหนดไว้ตามแต่กรณีเหมือนกัน ที่ไม่ใช่ว่า...เห็นใครน่าสงสารเวทนาแล้วโพสต์รับบริจาคได้ทันทีดั่งทุกวันนี้ทำให้กลายเป็นปัญหา “มิจฉาชีพ” ดึงข้อมูลรูปภาพบุคคลอื่นมาดัดแปลง แก้ไขข้อความ ในการชักชวนบริจาคด้วยการแชร์ข้อความต่อกันไปเรื่อยๆ โดยชื่อ และบัญชีที่รับบริจาคมาเป็นบัญชีของตัวเอง...ตัวอย่างเช่น...เจอชายชรานั่งขายขนมตามป้ายรถเมล์ และได้ถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กตัวเอง และมีการแชร์ต่อกัน ทำให้ประชาชนบริจาคเงินให้ชายชรา คนนี้มากมาย เพื่อจุดประสงค์นำเงินไปใช้ดำเนินชีวิตทว่า...“ชายชรา” นำเงินบริจาคไปใช้ตรงวัตถุประสงค์ของคนให้ก็ดีไป แต่ถ้าใช้ผิดวัตถุประสงค์ เช่น ซื้อสุรายาเมา หรือใช้เล่นการพนัน ก็ อาจเข้าข่ายความผิดขึ้น ในฐานความผิดฉ้อโกง หรือฉ้อโกงประชาชนก็ได้ย้อนกลับมาที่...“คนโพสต์” ก็อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ในเรื่องการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ส่วน “คนแชร์ข้อความ” ก็อาจมีความผิด ป.อ.83 ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการกลายเป็น “ความผิดอาญา” ทั้งต้องโทษตามความผิด และอาจถูกตรวจสอบยึดทรัพย์สินเพราะความผิดข้อหาฉ้อโกงประชาชน ที่เป็นความผิดมูลฐาน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ที่มีความผิดแยกอีกส่วนหนึ่งต่างหาก...ดั่งคำสุภาษิตไทยที่ว่า...“ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” ถ้าไม่เห็นผลเสียที่เกิดขึ้นตามมาก็ไม่รู้ หรือไม่สำนึกถึงความผิดพลาด และหยุดกระทำ เรื่องนั้น คนเรามักจะเป็นแบบนี้ ถ้าไม่เจอประสบการณ์ร้ายๆด้วยตัวเองก็ยากจะสำนึกและเลิกกระทำเรื่องไม่ดีอย่างไรก็ดี...ทั้งหมดทั้งมวลนี้คงต้องนำ ป.อ. ม.59 ในเรื่องเจตนา...ที่ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมาประกอบความผิดด้วยถ้าหาก “ไม่มีเจตนา” ก็คงไม่เข้าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาขึ้นได้...