เป็นมือวางกฎหมายอันดับต้นๆของเมืองไทย ที่อยู่เบื้องหลังการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปประเทศมานับครั้งไม่ถ้วน สำหรับ “ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” ด้วยความที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในแวดวงการเมืองมาแล้วอย่างโชกโชน เขาจึงตั้งปณิธานว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความดี อุทิศตนเพื่อสร้างคนสร้างสังคมไทยให้มีความรู้ทางธรรมเป็นเครื่องนำชีวิต โดยพุ่งเป้าไปที่ระดับผู้นำองค์กรของประเทศเป็นหลัก
ความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะสู่สังคมไทย เริ่มฟูมฟักในใจของ “ดร.บวรศักดิ์” มานานแล้ว แต่เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนก็ตอนที่มานั่งเลขาธิการคนแรกของสถาบันพระปกเกล้า เมื่อปี 2542 และรั้งตำแหน่งต่อเนื่องเป็นเวลา 12 ปี ทำหน้าที่ส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลของไทยอย่างเป็นระบบ ตลอดจนให้การศึกษาอบรมบุคลากรจากภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน ในเรื่องการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และกฎหมาย ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย


...
“ดร.บวรศักดิ์” เข้ามาวางรากฐานอะไรให้สถาบันพระปกเกล้า
เมื่อผมเข้ามาเป็นเลขาธิการคนแรกของสถาบันพระปกเกล้า ได้มีการวางรากฐานสำคัญไว้ 3 ด้านคือ วิชาการโดดเด่น, เน้นคุณธรรม และนำประชาธิปไตย ในเรื่องวิชาการเราเข้มข้นมาตั้งแต่ต้น จะเห็นได้ว่าวิทยากรที่เชิญมาล้วนเป็นระดับแนวหน้าของประเทศ และมีวิทยากรจากต่างประเทศรับเชิญมาด้วย คนมาเรียนที่นี่ต้องเรียนจริง ถ้าเอกสารไม่ครบ เวลาเรียนไม่ครบ ถึงคุณจะใหญ่แค่ไหนก็ไม่จบ แต่เท่านี้ไม่พอเรายังต้องเน้นคุณธรรมด้วย เพราะมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเมืองไทยเรามีเรื่องทุจริตเยอะ โดยเฉพาะในภาครัฐและข้าราชการประจำ จะเน้นแต่ประชาธิปไตยอย่างเดียวไม่ได้
ถูกสะกิดใจด้วยเรื่องอะไร ทำให้มุ่งมั่นชูคุณธรรมในหลักสูตรอบรมผู้บริหารระดับสูง ซึ่งถูกมองว่าเรียนเพื่อสร้างคอนเนกชัน
ท่านพุทธทาสพูดไว้ชัดในเรื่องประชาธิปไตยมืดมิด ท่านบอกว่าประชาธิปไตยที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม ก็เป็นได้แค่ประชาธิปไตยที่มีตัณหาเป็นรากฐาน เน้นแต่สิทธิเสรีภาพของคน โดยไม่มีศีลธรรมเป็นตัวกำกับ ตัณหาจะนำไปสู่การโกงประชาชนเลือกผู้แทนโกงเข้าไป ผู้แทนโกงก็ไปตั้งรัฐบาลโกง รัฐบาลโกงก็ไปบริหารประเทศแบบโกงๆ ตรงข้ามกับประชาธิปไตยสว่าง ที่คนทั้งหมดในระบอบเป็นผู้มีอำนาจ แต่เป็นอำนาจที่มีศีลธรรมและมีคุณธรรมคอยกำกับอย่างแท้จริง ไม่ใช่สังคมแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอา


จะเข้าตำราไม้แก่ดัดยากไหม เพราะคนที่เข้าอบรมล้วนเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว
ไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับทุกคนในเรื่องธรรมะ แต่การสอดแทรกธรรมะเข้าไปในห้องเรียนอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จะต้องมีการฝึกจิตทำสมาธิด้วย เพื่อให้เกิดปัญญาในทางธรรม เมื่อหลายปีก่อนผมได้ไปกราบเรียนพระธรรมมงคลญาณ “หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร” เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล ซึ่งเป็นลูกศิษย์องค์สุดท้ายของสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตเถระ ให้มาร่วมจัดทำหลักสูตรวิทันตสาสมาธิสำหรับนักบริหารระดับสูง โดยพัฒนามาจากหลักสูตรครูสมาธิของสถาบันพลังจิตตานุภาพ เพื่อเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่ผู้นำด้านการเมือง ผู้นำองค์กรเอกชน ข้าราชการและเอ็นจีโอ ที่เข้ามาอบรมกับสถาบันพระปกเกล้า ต่อมาได้มีการขยายหลักสูตรออกไปสู่สาธารณชน บริษัทห้างร้านต่างๆก็นำไปใช้อย่างกว้างขวาง
ดูเหมือนจะเชื่อมั่นว่ามนุษย์เราขัดเกลาได้ด้วยธรรมะ
มนุษย์ทุกคนขัดเกลาได้ ผมไม่เชื่อว่ามนุษย์คนไหนจะเปลี่ยนไม่ได้ แม้แต่องคุลิมาลยังกลับใจได้ มนุษย์เราเมื่อต้องการกำลังกายเราต้องออกกำลังกายเคลื่อนไหว เพราะนั่งเฉยๆก็จะอ้วน กระนั้น จิตของมนุษย์เคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่ไม่มีพลัง เราต้องจับมาให้อยู่กับปัจจุบัน ที่เรียกว่าสติ ให้อยู่กับการภาวนา ที่เรียกว่าพุทโธ จนเกิดสมาธิ แปลว่ามีจิตเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีอารมณ์อื่นแทรก ตรงที่มีจิตเป็นหนึ่งเดียวมันจะทำให้เรามีความสุข อดีตและอนาคตไม่สำคัญ แต่จะอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น จึงจะเกิดพลังจิต คนเราเมื่อมีพลังจิตถึงระดับหนึ่งหลังจากฝึกสมาธิมากพอแล้ว ก็จะไม่กล้าทำชั่วทำบาป ไม่กล้าทำผิดศีล และมีจิตที่เมตตา ไม่ต้องการพูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ไม่ต้องการเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง ไม่ต้องการทำร้ายคนอื่น หนังสือ “Buddha’s Brain” ที่เขียนโดยนักจิตวิทยาชื่อดัง บอกว่า การนั่งสมาธิสามารถเปลี่ยนรูปสมองและเปลี่ยนพฤติกรรมของเราได้ สมองมนุษย์ถูกสร้างให้ไวต่อความทุกข์และสิ่งที่เป็นภัย เพื่อให้เอาตัวรอด แต่ถ้าได้ฝึกสมาธิมากๆเข้าต่อเนื่องเป็นเวลานาน มันจะเปลี่ยนรูปสมองของเรา และเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา มนุษย์ถูกสร้างสมองมาให้บันทึกทุกข์เข้าไปได้เร็ว เพราะทุกข์คือภัยคุกคาม เพื่อที่จะได้หนีเอาตัวรอด มนุษย์จึงเป็นสัตว์ชนิดเดียวที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด แต่ถ้าคุณฝึกสมาธิจนถึงระดับหนึ่งในงานวิจัยที่ศึกษาจากพระลามะในทิเบตชี้ว่า รูปสมองจะเปลี่ยน วิธีมองโลกจะเปลี่ยน แล้วมันก็จะเปลี่ยนพฤติกรรมได้ ซึ่งผมเชื่อในทฤษฎีนี้ และคิดว่าการจะสร้างคุณธรรมในผู้นำไทย มันไม่ใช่สอนกันในห้องเรียนอย่างเดียว ต้องลงมือให้เขาฝึกสมาธิทุกวัน กระทั่งพลังจิตเกิด เมื่อพลังจิตเกิด ความกลัวต่อบาปก็จะมา เมื่อเขาไม่ต้องการเอาทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง การทุจริตก็ไม่เกิด ถ้าผู้นำประเทศฝึกสมาธิทุกวัน การเมืองที่ใส่ร้ายกันก็จะหมดไป เพราะคนมีพลังจิตที่ฝึกดีแล้วจะไม่กล้าทำบาปทำชั่ว


คาดหวังอะไรจากการจัดตั้งมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม
ผมเชื่อว่าการเปิดอบรมโครงการส่งเสริมการศึกษาธรรมและการปฏิบัติธรรม จะสามารถช่วยพัฒนาศีลธรรมและจิตใจได้ นอกจากการทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมอย่างจริงจังแล้ว ทางมูลนิธิของเรายังจัดโครงการอุปสมบทพระภิกษุต่อเนื่องเป็นรุ่นที่สามแล้ว โดยรุ่นล่าสุดจะเดินทางไปอุปสมบทในดินแดนพุทธภูมิ 4 สังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย วันที่ 26 พ.ย.-6 ธ.ค.นี้ เพื่อถวายเป็นพระกุศลแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ผมถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการนำผู้มีจิตศรัทธาให้ไปสัมผัสความเป็นพุทธศาสนาถึงดินแดนต้นกำเนิดอย่างแท้จริง พร้อมทั้งศึกษาสิ่งที่ท่านสอน และนำกลับมาปฏิบัติ ให้รู้ว่าบาปบุญคุณโทษมีจริง ไม่ใช่คนทำดีได้ดีมีที่ไหน คนทำชั่วได้ดีมีถมไป อันนี้เป็นความคิดที่ผิด เมื่อได้ฝึกจนเกิดศรัทธาแล้ว ก็จะมีความเพียร เป็นความเพียรที่จะปฏิบัติด้วยวิริยะอย่างถูกต้อง ทำให้เกิดสติ เกิดสมาธิ และเกิดปัญญา ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าพละ 5 โครงการเหล่านี้จะส่งเสริมวิชาการให้โดดเด่น ขณะเดียวกันก็เน้นคุณธรรมด้วยการปฏิบัติจริงๆ ซึ่งสุดท้ายช่วยส่งเสริมการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ
เมื่อวิกฤติมาเยือนชีวิต ธรรมะช่วยเยียวยาจิตใจและเผยให้เห็นสัจธรรมอย่างไร
ในชีวิตผมเจอวิกฤติมาหลายครั้ง และทุกครั้งก็จะได้พึ่งแสงสว่างจากพุทธศาสนา ผมเชื่อตลอดว่าพุทธศาสนาของเราคือเพชรน้ำหนึ่งอย่างแท้จริง วิกฤติแรกเลยที่ทำให้ทุกข์คือ เลิกกับภรรยา ผมก็อาศัยพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง ธรรมะทำให้เข้าใจว่าอะไรที่เป็นอดีตไปแล้วแก้ไขไม่ได้ อีกช่วงคือไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณ และถูกทหารยึดอำนาจ ผมถูกกักตัวอยู่นาน 15 วัน ก็ได้ใช้ธรรมะช่วยดับทุกข์ ครั้งล่าสุดคือลาออกจากการเป็นเลขาฯครม.ในยุคนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ผมไปบวชยาวเลยที่วัดสระเกศ นับจากนั้นมาหากมีโอกาสบวชอีกผมก็จะบวช


ถามจริงๆเคยคิดบวชตลอดชีวิตไหมคะ
ผมคิดอยากบวชตลอดชีวิต เคยคุยกับพระอุปัชฌาย์คือ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)” สมัยบวชที่วัดสระเกศว่า ผมจะบวชตลอดชีวิตดีไหม ท่านบอกว่าคุณอย่าบวชตลอดชีวิตเลย คุณปฏิบัติธรรมไปตลอดชีวิตดีกว่า เพราะคุณทำประโยชน์ทางโลกได้มากกว่าการบวช ซึ่งสามารถทำประโยชน์ให้พุทธศาสนาได้ด้วย โดยไม่จำเป็นต้องบวชตลอดชีวิต แต่ความคิดนี้ยังอยู่ในใจผมเสมอ
ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ อะไรคือความสุขแท้จริงของ “ดร.บวรศักดิ์”
ปีนี้ผมอายุ 65 แล้ว สิ่งที่ผมค้นพบและอยากแบ่งปันให้ทุกคนคือ ความสุขไม่ต้องลงทุน ความดีมันทำไม่ยาก แค่เสียสละวันหนึ่งไม่เกินชั่วโมง ก็สามารถทำให้เราเป็นคนดีได้ ของดีอยู่ใกล้ตัว วันนี้เขาสอนสมาธิเก็บเงินแพงๆในยุโรป เพราะคนอยากมีความสุข แต่ของเราสอนให้ฟรีๆยังไม่ค่อยมีใครอยากทำ เชื่อผมอย่าไปฝึกสมาธิตอนมีทุกข์ มันจะได้สมาธิช้ามาก ให้ใช้ชีวิตธรรมดาและฝึกสมาธิไปเรื่อยๆ เมื่อถึงเวลามีทุกข์ ความทุกข์จะน้อยลงไม่ท่วมท้น สำหรับผมการสร้างคนให้มีความรู้ทางโลกคู่ความรู้ทางธรรมสำคัญกว่าการสร้างวัด.
ทีมข่าวหน้าสตรี