ในคดีประชาชนมีฐานะยากจน “ตกเป็นแพะ” ชั้นงานสอบสวน มักเกิดขึ้นให้เห็นในสังคมไทย มี “ผู้บริสุทธิ์” ต้อง รับโทษอยู่ในเรือนจำมากมาย อาจจะเกิดจากความบกพร่องของพยานหลักฐานไม่รัดกุมนำไปสู่ความผิดพลาดของพนักงานอัยการ...ในการสั่งฟ้องคดี...?
“ผู้บริสุทธิ์” ถูกต้องโทษโดยที่ตัวเองไม่ได้ก่อ...กลายเป็นความ “อึดอัดใจ” ที่ต้องตกอยู่ในฐานะ “ความเป็นแพะ” เกิดความเครียด จนคิดสั้นฆ่าตัวตาย เพราะน้อยใจกระบวนการยุติธรรม...
เงื่อนปัญหาสำคัญนี้เป็นที่มาของการจัดเวทีเสวนาในหัวข้อ “จะปฏิรูปงานสอบสวน และการสั่งคดีของอัยการอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม ประชาชนเชื่อถือเชื่อมั่น” จัดขึ้นโดยเครือข่ายประชาชนปฏิรูปตำรวจ (คป.ตร.) และสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.)
พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร อดีตที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการ การปฏิรูปตำรวจสภาปฏิรูปแห่งชาติ หรือ สปช. บอกว่า ระบบกระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะชั้นงานสอบสวน มีความวิปริตมากที่สุด สร้างความเดือดร้อน มีผลกระทบต่อผู้มีฐานะยากจนมากกว่าคนมีฐานะร่ำรวย
มีผู้บริสุทธิ์ถูกจับกุมโดยที่ไม่ได้กระทำความผิด หรือที่เรียกว่า “แพะ” เกิดขึ้นมากมาย กลายเป็นเรื่อง “วิปริตของสังคมไทย” มีทั้งที่เป็นข่าวตามหน้าสื่อ และที่ไม่เป็นข่าวอีกเยอะแยะ บางคนทนความเจ็บปวด...การต่อสู้คดีมายาวนาน สร้างความเดือดร้อนสารพัด นำไปสู่การฆ่าตัวตาย กลายเป็นเรื่องใหญ่บานปลายมากที่สุด
คนร่ำรวยจะเดือดร้อน...ก็ต่อเมื่อเรื่องไปกระทบบุคคลมีฐานะร่ำรวยกว่า หรือบุคคลมีอำนาจมากกว่า เรื่องที่ไม่เคยเป็นคดี...ก็พลิกกลับมาเป็นคดีขึ้นได้ เช่น ในยุครัฐบาลเก่า มีหลายคดีน่าเป็นคดี แต่กลับไม่เป็นคดี เมื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจรัฐบาล...คดีไม่เคยเกิดคดี...ก็กลายมาเป็นคดีขึ้นมากมาย
...
ทั้งหลายทั้งปวงนี้...เกิดจากกระบวนการยุติธรรมไทย มีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่หนึ่ง...พนักงานสอบสวน ขั้นตอนที่สอง...พนักงานอัยการ และขั้นตอนที่สาม...ศาล
แต่ทุกคนกลับมองไปที่ “ศาล” ในการลงโทษผู้กระทำความผิด
ในความจริงแล้ว...“คดี” เริ่มเกิดขึ้นจากตำรวจ หรืองานสอบสวน มีลักษณะบังคับบัญชา แบบกองทัพ หรือตามขั้นยศทหาร นั่นหมายความว่า...เมื่อมีขั้นยศ...ย่อมมีระบบวินัยข้อปฏิบัติ แม้พนักงานสอบสวนปฏิบัติงานดี หากไม่เชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ก็สามารถสั่งขังได้ ทำให้กระบวนการยุติธรรมถอยหลัง...
ย้อนนับแต่หลังปี 2475...ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) ฝ่ายปกครอง ตั้งแต่นายอำเภอ และผู้ว่าราชการจังหวัด มีหน้าที่รับผิดชอบในการสอบสวน...และให้ตำรวจอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องรับฟังตามคำสั่งนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด และปลัดกระทรวงมหาดไทย
แต่ว่า...อำนาจการสอบสวน เปลี่ยนแปลงใหม่ ในยุคปี 2506 มีการออกข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย ให้ตำรวจเป็นผู้มีหน้าที่งานสอบสวนฝ่ายเดียว ที่ไม่ต้องตรวจสอบจากฝ่ายปกครอง
ในปี 2509 ออกข้อบังคับกระทรวงมหาดไทยอีกครั้ง...
ให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจในงานสอบสวนในส่วนของภูมิภาค กรณีที่ประชาชนร้องขอความเป็นธรรม ในช่วงนี้สามารถถ่วงดุลอำนาจงานสอบสวนของตำรวจได้ในระดับหนึ่ง
ความเดือดร้อนเกี่ยวกับงานสอบสวนของตำรวจ ขอความเป็นธรรมได้กับนายอำเภอ หรือผู้ว่าฯจังหวัด เพื่อเรียกสำนวนตรวจสอบหรือเข้าควบคุมดูแลงานสอบสวนมีผลให้ฝ่ายตำรวจ...ทำอะไรไม่ได้อย่างใจมากนัก
กระทั่งปี 2523 มีการออกข้อบังคับเพิ่มเติม ป.วิ.อ.ปี 2509 ในกรณีเกิดคดีอาญาเกี่ยวกับการตัดไม้ทำลายป่า และทรัพยากรธรรมชาติ คดีวิสามัญฆาตกรรม หรือคดีที่เป็นที่สนใจของประชาชน ที่ให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจในงานสอบสวนพร้อมกับอัยการ ในคดีวิสามัญฆาตกรรม

เห็นได้ว่า...นับจากนั้นคดีเจ้าพนักงานอ้างว่า...ผู้ต้องหาหรือคนร้าย ขัดขืนใช้อาวุธต่อสู้ ทำให้ต้องใช้อาวุธยิงสกัดกั้นป้องกันตัวนั้น...ปัญหานี้หายไปแทบไม่มีเหตุการณ์วิสามัญฆาตกรรม
สะท้อนว่า...เมื่อมีหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมตรวจสอบกระบวนการสอบสวนกับตำรวจ น่าจะนำไปสู่กระบวนการเกิดความสุจริตขึ้นได้
และมีคำถามสำคัญตามมาว่า...เมื่อมีการออกข้อบังคับกระทรวงมหาดไทย ให้ฝ่ายปกครองตรวจสอบข้อร้องเรียนของประชาชนในปี 2509 และปฏิบัติมานี้ดีขึ้นหรือไม่...
ในความจริง...กระบวนการยุติธรรมดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นในพื้นที่กรุงเทพฯ ยังขาดกระบวนการตรวจงานสอบสวนของตำรวจ เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องฝ่ายปกครอง ไม่สามารถเข้าตรวจยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการสอบสวนนั้นได้ เหมือนกับระดับภูมิภาค จนเรื่องนี้ยังเป็นจุดอ่อน
“มาถึงปี 2556 มีนายตำรวจท่านหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่า สตช.ไม่ได้ขึ้นตรงกับกระทรวงมหาดไทยแล้ว และมีคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 419/2556 ว่า เมื่อนายอำเภอ หรือผู้ว่าฯ ขอตรวจการสอบสวน ไม่ต้องปฏิบัติตามที่ร้องขอนั้นอีกต่อไป แต่รายงาน สตช.พิจารณาสั่งการ” พ.ต.อ.วิรุตม์ ว่า
เรื่องนี้เกิดปัญหาว่า...ข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทย หลังปี 2475 ออกคำสั่งเป็นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ถือว่าเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย กลายเป็นว่าพนักงานสอบสวนเกิดความโลเล ไม่มั่นใจกับคำสั่ง สตช.419/2556 เพราะไม่ทำตามก็ผิดกฎหมาย หากไม่กระทำตามผู้บังคับบัญชา ก็อาจถูกลงโทษทางวินัย
สตช.มีคำสั่งย้ำอีกว่า หากตำรวจคนใดส่งสำนวนการสอบสวน ให้กับฝ่ายปกครอง ต้องถูกลงโทษทางวินัย ทำให้ไม่มีการส่งสำนวนงานสอบสวน และเกิดปัญหานับแต่นั้นเป็นต้นมา
กลายเป็น “ความเดือดร้อนของคนจน” ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ต้องออกมาร้องผ่านสื่อมวลชน หรือองค์กรอิสระ มีความอึดอัดใจ เพราะไม่มีทางออกของปัญหา
ขอย้ำว่า...ข้อบังคับ ก.มหาดไทย ออกตาม ป.วิ.อ. มีผลบังคับ แม้แต่ สนง.อัยการเคยตีความไว้ว่า ข้อบังคับนี้มีผลให้ตำรวจต้องปฏิบัติ หากฝ่ายปกครองร้องขอตรวจงานสอบสวน และตำรวจไม่ปฏิบัติตาม ถือว่า การสอบสวนนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั่นหมายความว่า งานสอบสวน ต้องเป็นอำนาจทั้งฝ่ายปกครองและตำรวจ
“ประเทศไทย” มีผู้ต้องหาต้องโทษตามคำพิพากษาอยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ 350,000 คน และมีบุคคลถูกฝากขังอยู่ในเรือนจำที่ยังไม่มีคำพิพากษา 60,000 คน ในจำนวนนี้อาจมีคดียกฟ้องก็ได้
เพราะกระบวนฟ้องคดีง่าย มีผลตามมา...บุคคลถูกกล่าวหาถูกพิมพ์ลายนิ้วมือ มีประวัติอาชญากรรม อยู่ในเรือนจำอย่างทุกข์ทรมาน บางคดี “ศาล” อาจพิจารณา “ยกฟ้อง” ก็ได้ แต่ประวัติทั้งหมดยังไม่มีการลบทิ้งตามไปด้วย ดังนั้นในเรื่องกระบวนขอหมายจับ ต้องให้อัยการร่วมกลั่นกรองพิจารณาด้วย
หนำซ้ำ...เรื่อง “ความเห็นแย้ง” เดิมในส่วนภูมิภาค ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าฯ ในปี 2557 มีคำสั่งแก้ไข ป.วิ.อ.ความเห็นแย้งของอัยการจังหวัด เป็นอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค และมีการนำตำรวจ ฝ่ายงานสอบสวน นั่งกลั่นกรองความเห็นแย้งของพนักงานอัยการมาตลอด
แม้ว่า...พนักงานอัยการมองว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอในการสั่งฟ้อง แต่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค มีความเห็นแย้ง ในการให้ฟ้องคดี... ก็ต้องมีการฟ้อง เพราะเกรงใจ หรือเกรงมีปัญหาภายหลัง...ทำให้หลายคดีเกิดความผิดพลาด มีคำพิพากษายกฟ้อง
ในอนาคต...กระบวนการยุติธรรมให้กับคนยากจน...ยังพอมีทางออก...หลังเปิดสภาฯ มี ส.ส.ฝ่ายค้านสะท้อนปัญหาสังคมมากมาย รวมถึงกระบวนการยุติธรรมนี้ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับฟังและรับปากว่า จะเข้ามาดูแลเรื่องกระบวนงานสอบสวน ทั้งการปฏิรูปตำรวจ และดูแลฝ่ายสอบสวน
กลายเป็นความท้าทายรัฐบาลนี้ “พลิกตำรากฎหมายไทย” ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ให้เกิดความเท่าเทียม...นี่คือความหวังของ “คนจน” ...ที่จะไม่ต้องตกเป็น “แพะ” อีกต่อไป.