ผมอ่านโพสต์ของ พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาค 2 แล้ว ก็ต้องถาม นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ว่า กัมพูชาได้รุกลํ้า ดินแดนอธิปไตยไทยมาตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ 68 แล้ว ทำไมรัฐบาลจึงเงียบเฉย ไม่ดำเนินการประท้วงให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวโลก ซํ้าร้ายนายกฯยังทะเลาะกับนักข่าวหัวเราะเยาะที่ถามนายกฯเรื่อง ทหารกัมพูชารุกลํ้าดินแดนไทยเข้ามา 200 เมตร นายกฯไม่รู้เรื่องเลยหรือ เมื่อส่ง คุณภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรัฐมนตรีกลาโหมลงไปดูพื้นที่จริง คุณภูมิธรรม ก็ยอมรับว่า ทหารเขมรรุกลํ้าดินแดนไทยเข้ามา 200 เมตรจริง ฟังแล้วก็เป็นงง นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกลาโหม ไม่รู้เรื่องที่ ทหารเขมรรุกลํ้าดินแดนไทยมาตั้ง 3 เดือนกว่าแล้วจริงหรือ เป็นเรื่องที่น่าตกใจนะครับ
วันนี้ ชายแดนไทย–กัมพูชากำลังตึงเครียดหนัก กองทัพบกสั่งปิดชายแดนบางส่วน ลดเวลาเปิดปิดชายแดนหลายแห่ง แต่ นายกฯแพทองธาร ยังทำตัวสบายมาก ไปตรวจโครงการจัดหานํ้าบาดาลขนาดใหญ่ที่กาญจนบุรี ไปเปิดงานโอทอปที่เมืองทอง ว่างจริงๆ
การประชุม สภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งแรกเมื่อ 6 มิ.ย. ดูเหมือน นายกฯแพทองธาร จะโยนปัญหาพิพาทชายแดนไปให้ ผู้บัญชาการทหารบก และ กองทัพบก รับผิดชอบแทนรัฐบาล ทั้งที่เป็นเรื่องที่ใหญ่เกินกว่าจะให้กองทัพบกรับผิดชอบเพียงหน่วยงานเดียว เวทีนี้เป็นการสู้กันแบบ “รัฐต่อรัฐ” อย่างที่ คุณกัณวีร์ สืบแสงสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม โพสต์ ไม่ใช่โยนให้ กองทัพบก ไปสู้กับ รัฐบาลกัมพูชา การแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดนต้องใช้ทุกหน่วยงานในรัฐบาล นายกฯต้องเป็นผู้นำ (เหมือนที่ฮุน เซน ชู ฮุน มาเนต ตัวเองช่วยอยู่ข้างหลัง) เพราะ ต้องสั่งการข้ามกระทรวง ทั้ง รัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารบกไปสั่งนายกฯ หรือรัฐมนตรีไม่ได้
...
ไปดูความจริงในโพสต์ของ พล.ต.ณัฏฐ์ รองแม่ทัพภาค 2 กันครับ
พล.ต.ณัฏฐ์ ระบุว่า ความจริงไทย–กัมพูชามีปัญหาเรื่องเส้นเขตแดน มายาวนานจากการถือแผนที่ต่างกัน แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 เป็นผลผลิตจากสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ที่มีความคลาดเคลื่อนจากเส้นสันปันน้ำจริงหลายจุด สองฝ่ายจึงเห็นพ้องตั้ง JBC ขึ้นมาจัดทำเขตแดนให้ชัดเจน โดยมีสาระสำคัญ ข้อ 5 ระบุไม่ให้สองฝ่ายดัดแปลงภูมิประเทศตามแนวชายแดน ซึ่งอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสันปันน้ำ ที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชาละเมิด MOU43 มาโดยตลอด ขยายชุมชน สร้างกาสิโน ปลูกพืชไร่ประชิดชายแดนเป็นการทำลายสันปันน้ำ เราประท้วงกว่า 400 ครั้ง แต่ให้ความร่วมมือน้อยมาก ฝั่งเราเป็นอุทยานเข้าไปทำอะไรไม่ได้
พื้นที่ ช่องอานม้า ก่อนเกิดเหตุเผาศาลาตรีมุข (28 ก.พ.68) ทหารกัมพูชาวางกำลังห่างชายแดนไม่น้อยกว่า 500 ม. เราก็วางกำลังห่างใกล้เคียงกัน ย่านกลางเป็นพื้นที่แห่งสันติภาพประสานงานพูดคุยแก้ปัญหากัน
28 ก.พ.68 กัมพูชาเผาศาลาตรีมุข เคลื่อนกำลังเข้าที่ต้นพญาสัตบรรณ ล้ำอธิปไตยไทยเข้ามาประมาณ 150 ม. รวมถึงขุดคูเลตทำลายสันปันน้ำละเมิด MOU43 ฝ่ายเราพยายามแก้ปัญหาโดยสันติ แต่เขมรก็ไม่ยอมถอย สุดท้ายมีการใช้อาวุธ เมื่อ 28 พ.ค.68 ที่เขมรอ้างว่าวางกำลังทหารอยู่เดิมก่อนมี MOU43 ไม่จริงแน่นอน ถ้ามีปีที่แล้ว (ส.ค.67) ผมจะเดินผ่านจุดนี้เข้าไปที่ศาลาตรีมุขได้อย่างไร พล.ต.ณัฎฐ์ ได้ลงภาพประกอบด้วย ศาลาตรีมุข สร้างขึ้นในสมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ เป็นนายกฯ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ 3 ประเทศ ในพื้นที่รอยต่อ ไทย สปป.ลาว กัมพูชา เสียดายที่ถูกเขมรเผาไปแล้ว
ก็อย่างที่ผมได้เขียนไป 3 ตอนในสัปดาห์ที่แล้ว ชี้ให้เห็นถึงความไม่ปกติของเกมนี้ ฮุน เซน วางแผนสร้างสถานการณ์อย่างเป็นระบบ หวังยึดแดนไทย ชูเป็นผลงานของลูกชายนายกฯฮุนมาเนต ที่ไม่ค่อยมีผลงาน คะแนนนิยมกำลังตกต่ำ
มาถึงจุดนี้แล้ว ผมคิดว่าไทยต้องเพิ่มเกมเล่น ต้องเปิดเกมรุกทางการทูตครั้งใหญ่เข้าหาทั้งพี่เบิ้มจีน และ อาเซียน ให้กดดันกัมพูชา สถานทูตจีนในไทยก็เปิดทางให้แล้ว คุณมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ต้องทำตัวให้มีบทบาทมากกว่าที่เป็นอยู่ครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”
คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม