กว่าจะตั้งหลักได้ก็ต้องแสดงกำลังภายในให้ปรากฏนี่เป็นเรื่องภายในของไทยในความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชาที่เกิดขึ้น

วันนี้ “กองทัพ” เข้าควบคุมสภาพได้ทั้งหมด

การใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักด้วยการปิด-เปิดด่านชายแดนระหว่าง 2 ประเทศ คือ มาตรการเชิงรุกของไทย

เพราะทำให้ผู้นำกัมพูชาหวั่นไหวและหวาดหวั่นมาก

เพราะเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัดเจน

แค่เรื่องเดียวคือ “กาสิโน” ซึ่งเป็นกิจการที่ทำให้กัมพูชามีรายได้มากที่สุดเมื่อปิดด่านไม่ให้คนไทยเข้าไปเล่น

ก็เรียบร้อย...

ความจริงเรื่องการปิด-เปิดด่านนั้นถือเป็นมาตรการสำคัญที่ฝ่ายทหารเสนอตั้งแต่แรกเพื่อตอบโต้กัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ของไทย

แต่รัฐบาลปฏิเสธ

ทำให้ฝ่ายทหารไม่ค่อยพอใจรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงที่อ้างว่าจะทำให้เกิดปัญหาชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน

ประเด็นนี้ทำให้ฝ่ายทหารมองว่ารัฐบาลอ่อนแอไม่กล้าเพราะเกรงว่าจะทำให้สถานการณ์บานปลายนำไปสู่สงครามได้

แต่ฝ่ายทหารมองว่าการที่รัฐบาลไม่ทำเพราะ “ทักษิณ-ฮุน เซน” สนิทสนมกันแบบครอบครัวจึงเท่ากับเป็นการเอาใจกัมพูชา

พูดง่ายๆว่า “คนไทยใจเขมร” ทำนองนั้น

ดังนั้นทำให้เกิดปฏิกิริยาจากฝ่ายทหารมากพอสมควร

คือจะไม่ยอมรับคำสั่งจากรัฐบาลแต่จะดำเนินการตามยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของทหาร

นั่นทำให้สถานการณ์ระหว่างทหารกับรัฐบาลค่อนข้างจะตึงเครียด

จนที่สุดด้วยเหตุผลที่รัฐบาลต้องยอมรับเพราะมีกระแสจากประชาชนที่ไม่พอใจและรัฐบาลก็ไม่มีมาตรการอะไรที่จะใช้ในการต่อสู้

ที่สำคัญถูกโจมตีว่าเป็น “ไส้ศึก” ด้วยซ้ำไป!

เพราะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว

...

“ทหาร” นั้นถือธงชัดเจนคือการปกป้องประเทศชาติชายแดนทุกตารางนิ้วใครก็มายึดครองไม่ได้เด็ดขาด

การเข้าควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดจึงได้รับการยอมรับจากประชาชนด้วยความเต็มใจทำให้รัฐบาลเสื่อมเสียการยอมรับไปทันที

“ทักษิณ ชินวัตร” ที่เคยเก่งกาจ อาจหาญจึงต้องมุดหัวอยู่ในถ้ำ เพราะเคยออกมาพูดสั้นๆว่าคุยกับ “ฮุน เซน” ตลอดไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

แต่ที่ไหนได้ไทยจะเสียดินแดนเอา!

วันนี้นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” มีก็เหมือนไม่มี

เพราะไม่สามารถสั่งการอะไรได้ เพราะนอกจากไม่มีความรู้ในด้านนี้อยู่แล้วยังมีจุดยืนที่อิงแอบกับคู่กรณี

เหตุการณ์ครั้งนี้จะเห็นว่านายกรัฐมนตรีต้องถอยรูดไม่กล้าแม้จะไปพบปะเยี่ยมเยียนชาวบ้านในจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา

เพราะไม่มีใครต้อนรับหรือไปอาจจะถูกโห่ถูกไล่ได้

เห็นแค่ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ในฐานะรัฐมนตรีมหาดไทยที่เดินสายเยี่ยมเยียนชาวบ้านปลุกขวัญปลุกกำลังกันอย่างคึกคัก

และปฏิเสธที่จะปรับ ครม.แต่ขออยู่ที่เก่าต่อไป

เป็นเหลี่ยมการเมืองชิงความได้เปรียบแบบส้มหล่น!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม