“อิทธิพร” แจงคณะกรรมการสืบสวนฯของ กกต.เรียก 53 สว.เข้ารับทราบข้อกล่าวหาฮั้วเลือก สว. ยังไม่ถือว่ามีความผิดชัด แต่มีพฤติการณ์อาจเป็นการฝ่าฝืน พร้อมหลักฐานพยานโยงทำให้เชื่อแต่เป็นหน้าที่ศาลชี้ขาด รับดึงดีเอสไอมาช่วยงานไวขึ้น คำร้องคดี สว.577 เรื่อง ทำเสร็จแล้วกว่า 300เรื่อง “สรชาติ” โวยดีเอสไอสุ่มเรียกรายกลุ่มกดดัน กกต. เหน็บเกมการเมืองตามเล่นงาน “สว.พันธุ์ใหม่” จวกดึงภาพลักษณ์สภาสูงตกต่ำ “นันทนา” จี้ต่อมสำนึกหยุดปฏิบัติหน้าที่หรืออย่างน้อยชะลอลงมติสำคัญ เห็นชอบแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระ หวั่นผลโหวตเป็นโมฆะ ขู่ดื้อดึงกันใช้ ก.ม.บีบหยุดปฏิบัติหน้าที่ “โรม” ขยี้ “ทักษิณ” ป่วยทิพย์ ซัด “นายกฯอิ๊งค์” ใช้ดีลปีศาจสมคบหัวหน้ารัฐประหารเอื้อประโยชน์พ่อ “วิสุทธิ์” เมิน “เสี่ยหนู” ชงทำประชามติกฎหมายคอมเพล็กซ์ ติงหว่านงบฯ 3 พันล้านทุกเรื่องไหวหรือหลังจากคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งขึ้นเป็นพิเศษ ได้ส่งหมายเรียกให้ 53 สว.ชุดแรกเข้ารับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมพยานหลักฐานคดีฮั้วเลือก สว.ปี 67 ภายในวันที่ 19 พ.ค. นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ได้ออกมาชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติ พร้อมยืนยันว่าในชั้นนี้ยังไม่ถือว่ามีความผิด แต่มีพฤติการณ์ที่อาจจะเป็นการฝ่าฝืนต้องให้ศาลชี้ขาด“อิทธิพร” แจงเรียก สว.รับข้อกล่าวหาเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 10 พ.ค. ที่สำนักงานเทศบาลนครหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีหมายเชิญ สว.เข้าชี้แจงเรื่องการฮั้วเลือก สว.ว่า เป็นเอกสารแจ้งข้อกล่าวหา ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ที่ กกต.ตั้งขึ้นเป็นพิเศษ คณะที่ 26 มี ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. เป็นประธาน และขอความร่วมมือเจ้าหน้าที่ดีเอสไอมาช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง เมื่อตรวจสอบพยานหลักฐานเบื้องต้นแล้วพบว่าสามารถนำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาได้ จึงได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาด้วยการทำหนังสือนัดหมาย กำหนดเวลาให้บุคคล 53 คนตามข่าวมารับทราบข้อกล่าวหาและให้โอกาสชี้แจง แสดงหลักฐาน การส่งหมายเชิญทำได้ 3 ช่องทางคือยื่นหนังสือทางไปรษณีย์ คณะกรรมการฯไปยื่นด้วยตัวเองและติดหมายเรียกไว้หน้าบ้านกรณีไม่พบเจ้าตัว สว.ที่ได้รับหมายเรียกต้องเข้าไปชี้แจงกับคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 ที่สำนักงาน กกต.เผยขั้นตอนก่อน กกต.ชี้ขาดส่งศาลนายอิทธิพรกล่าวอีกว่า กรอบเวลาการพิจารณาหลัง สว.เข้ามาชี้แจงแล้ว คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนฯมีเวลา 90 วัน แต่ขยายได้หากเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายบุคคล และเมื่อผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาชี้แจงแล้วจะประมวลพิจารณาวินิจฉัยและเสนอความเห็นไปยังเลขาธิการ กกต. ที่มีเวลาพิจารณาอีก 60 วัน จากนั้นจะเข้าสู่ที่ประชุม กกต. ผ่านการพิจารณาของอนุกรรมการวินิจฉัยพิจารณากลั่นกรองเพื่อเสนอความเห็นให้ กกต.ตัดสิน และถ้าหากที่ประชุม กกต.เห็นว่าไม่จำเป็นต้องสอบเพิ่มเติม เนื่องจากข้อมูลหลักฐานไม่เพียงพอก็ยุติเรื่อง แต่หากพบว่ามีความผิดจริงส่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และเข้าสู่กระบวนการของศาลต่อไป ถ้าศาลรับคำร้องไว้จะส่งผลให้ สว.ต้องยุติปฏิบัติหน้าที่ เมื่อถามถึงกรอบเวลาการพิจารณาคำร้องที่ต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 ปี นายอิทธิพร กล่าวว่า กรอบ 1 ปีเป็นการกำหนดเอาไว้ เพื่ออำนวยความยุติธรรมให้ผู้เกี่ยวข้อง แต่ไม่กระทบการสืบสวนไต่สวนใดๆทั้งสิ้น ยืดหยุ่นและขยายเวลาได้ ในฐานะเป็นหน่วยงานไม่อยากล่าช้า เพราะถ้าช้าต้องมีเหตุผลยังไม่ถือว่าผิดแต่หลักฐานทำให้เชื่อเมื่อถามว่าหากมี สว.ต้องออกจากหน้าที่ต้องเลือก สว.ใหม่ทดแทนหรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับจำนวนต้องรอดูความชัดเจนอีกที ส่วนจะเรียก สว.มาชี้แจงเพิ่มจากที่เรียกไปรอบแรก 53 คนหรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า เมื่อคำร้องเข้าสู่กระบวนการต้องให้แต่ละส่วนมีอำนาจหน้าที่อย่างแท้จริง จะมีอีกหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับหลักฐานที่คณะกรรมการฯชุดที่ 26 เป็นผู้พิจารณา การจะให้ข่าวออกไปตอนนี้คงไม่เหมาะสม เมื่อถามย้ำว่า ในหมายเรียกระบุชัดเจนว่า สว.มีความผิดชัดเจนเรื่องฮั้ว นายอิทธิพรกล่าวว่า ไม่ใช่มีความผิด แต่มีพฤติการณ์ที่อาจจะเป็นการฝ่าฝืน จะวินิจฉัยว่าผิดเลยไม่ได้ เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และพยานบุคคลที่มีทำให้เราเชื่อ แต่การตัดสินว่าใครผิดหรือไม่ผิดเป็นหน้าที่ศาลเคลียร์คำร้องคดี สว.แล้วกว่า 300 เรื่องเมื่อถามถึงการวินิจฉัยของอนุกรรมการฯก่อนเสนอ กกต.เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า ไม่ได้เปลี่ยน แต่แสดงความเห็นได้ว่าเห็นด้วยหรือไม่ หรือมีจุดไหนที่ต้องการข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ เพื่อให้เป็นธรรมและใช้ดุลพินิจได้ชัดเจนที่สุด ไม่เช่นนั้นจะลักลั่น เพราะข้อเท็จจริงยังไม่ชัด เมื่อถามว่าทำไมดีเอสไอเข้ามาแล้วดำเนินการได้เร็วกว่าที่ กกต.ทำเอง ประธาน กกต.กล่าวว่า มีบางเรื่องที่พยานหลักฐานไม่มากเท่ากับที่ดีเอสไอมี ต้องการให้ดีเอสไอเข้ามาช่วยดู เมื่อเชิญเข้ามาบวกกับพยานหลักฐานที่เขามีอยู่แล้ว ทำให้ไม่ช้า คำร้องของ สว.มีทั้งหมดประมาณ 577 คำร้อง ทำเสร็จไปแล้ว 300 กว่าเรื่อง“สรชาติ” มั่นใจหักล้างข้อกล่าวหาได้นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สว. หนึ่งในที่ถูกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาคดีฮั้วเลือกสว. กล่าวว่า ได้รับทราบถูกหมายเรียกจาก กกต.จังหวัด โทรศัพท์มาแจ้งให้ทราบ ยังไม่เห็นหมายเรียกที่เป็นตัวเอกสาร ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาวันที่ 19 พ.ค.นี้ คงขอเลื่อนออกไป 1-2 สัปดาห์ เพราะติดภารกิจ พร้อมไปรับทราบและชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา มั่นใจชี้แจงได้ ไม่กังวลไม่หนักใจ ยืนยันไม่ได้ฮั้ว ไม่มีคะแนนจัดตั้งหรือมีเส้นทางการเงินใดๆ การถูกเรียกครั้งนี้เท่าที่ดูเป็นการใช้วิธีสุ่มเรียกตัวแทนจาก 20 กลุ่ม มากลุ่มละ 1-3 คน สุ่มจากคนที่ได้ ที่ 1 ในแต่ละกลุ่ม และจังหวัดที่ได้รับเลือกเป็น สว.มากๆ ไม่ได้ดูจากการกระทำหรือการมีพฤติกรรมน่าสงสัยโวยดีเอสไอสุ่มเรียกรายกลุ่มกดดันกกต.นายสรชาติกล่าวว่า ในกลุ่ม 13 ของตน กลุ่มวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ถูกหมายเรียก 2 คนทั้งที่ในการเลือกระดับอำเภอและระดับจังหวัด ได้รับเลือกเข้ามาลำดับสุดท้ายทั้ง 2 ระดับ ระดับอำเภอได้ 2 คะแนน ลำดับ 1 ได้ 6 คะแนน ส่วนระดับจังหวัดได้ 4 คะแนน ลำดับ 1 ได้ 16 คะแนน แต่ระดับประเทศได้ 66 คะแนน มาเป็นที่ 1 ทำให้คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนสุ่มเรียกมาให้ข้อมูล กรณีดังกล่าว กกต.เคยเรียกไปชี้แจงแล้ว ได้ชี้แจงว่าจะเอาคะแนนระดับอำเภอและจังหวัดมาเทียบกับระดับประเทศไม่ได้ เพราะระดับประเทศมีตรรกะอื่นๆมาเกี่ยวข้อง อาทิ การมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ตนเป็นอดีต สส.หนองบัวลำภู มีลูกศิษย์มากมาย ได้คะแนนมาก กกต.ไม่ติดใจอะไร รายละเอียดเหล่านี้ กกต.รู้ดี เป็นเรื่องที่เก็บข้อมูลไว้หมดแล้ว แต่การทำงานของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ใช้ข้อมูลส่วนใหญ่จากดีเอสไอเป็นหลัก ส่งมาให้ กกต.ใช้ข้อมูลสุ่มมา โดยไม่รู้ว่า กกต.มีข้อมูลเหล่านี้แล้ว เมื่อดีเอสไอกดดันมา กกต.จำเป็นต้องรับเรื่องเรียกสอบไว้ก่อน ยืนยันมั่นใจชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้ไม่แน่ใจเป็นเกมการเมืองเล่นงาน สว.นายสรชาติกล่าวว่า ส่วนที่มองว่าการออกหมายเรียก สว.มารับทราบข้อหาคดีฮั้วเลือก สว.เป็นเกมการต่อรองระหว่างขั้วอำนาจทางการเมืองนั้น ไม่แน่ใจ แต่การออกหมายเรียกไม่ควรใช้วิธีสุ่มที่ไม่เป็นเหตุผล ไม่รู้พื้นฐานข้อเท็จจริงที่ กกต.สอบไว้หมดแล้ว กรณีดังกล่าว สว.ยังไม่ได้หารือกันจะดำเนินการอย่างไร ยังเร็วเกินไป เพราะแต่ละคนเพิ่งได้หมายเรียก ทุกคนยังอยู่ต่างจังหวัด ยังไม่มีโอกาสได้หารือกันเท่าไร“บุญจันทร์” ชวน 200 สว.แจงให้สิ้นสงสัยพล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว. กล่าวว่า เห็นข่าวจากสื่อว่าถูกออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาคดีฮั้วเลือก สว. พร้อมไปชี้แจงกับ กกต.ทันที วันที่ 19 พ.ค.ไม่เลื่อน ไม่รออะไร เพราะมั่นใจไม่ได้ทำผิด ไม่เคยฮั้ว ตนเป็นสว.กลุ่ม 2 สายกฎหมาย ศึกษาทุกอย่างมาเป็นอย่างดี ไม่ได้ทำผิดอะไรแน่นอน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเป็น เรื่องธรรมดาของคนสอบตกที่มาร้องเรียน พร้อมไปชี้แจง ได้คุยกับเพื่อนๆ สว.ว่า อยากให้เรียกสว.ไปชี้แจงทั้ง 200 คน จะได้สิ้นข้อสงสัยไปพร้อมกัน เรื่องที่เกิดขึ้นไม่คิดว่าเป็นเกมการเมือง เรามาเป็นสว.พร้อมให้ตรวจสอบเต็มที่อยู่แล้ว ที่ผ่านมายังไม่เคยถูก กกต.เรียกไปชี้แจง จึงไม่รู้ว่า กกต.สงสัยกรณีฮั้วในประเด็นใด พร้อมชี้แจงทุกประเด็นจะเอาเวลาที่ไหนไปฮั้วหรือทำความรู้จักกัน ไม่มีเวลาไปฮั้ว มาถึงก็นั่งดูประวัติของคนอื่นๆแล้วเลือกตามความรู้ ความสามารถ ดูจากประวัติแต่ละคนไม่มีฮั้วแน่นอนกลุ่มพันธุ์ใหม่ขู่ใช้ ก.ม.บีบพักทำหน้าที่น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่กล่าวว่า คาดว่ามี สว.กว่า 100 คน อยู่ในข่ายถูกแจ้งข้อกล่าวหาฮั้ว สว. ทำให้ภาพลักษณ์ สว.ตกต่ำมาก แม้กฎหมายไม่กำหนดให้ สว.หยุดปฏิบัติหน้าที่เมื่อถูกแจ้งข้อกล่าวหา แต่ควรใช้จิตสำนึกและสามัญ สำนึกให้ สว.ที่อยู่ในข่ายควรหยุดปฏิบัติหน้าที่ อย่างน้อยควรชะลอลงมติเรื่องสำคัญออกไป โดยเฉพาะการลงมติให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระ การลงมติร่าง พ.ร.บ.สำคัญ เพราะที่มา สว.มีสีเทาๆ การเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระที่ต้องทำหน้าที่ 7-9 ปีหรือลงมติกฎหมายที่มีผลถาวร ที่ทำโดย สว.มีที่มาไม่ชอบ จะทำให้กระบวนการนั้นเสียเปล่า กลายเป็นโมฆะ หาก สว.ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหายังดื้อดึง ไม่ชะลอลงมติสำคัญ อาจต้องใช้กระบวนการกฎหมายกดดัน กกต. ป.ป.ช. ดีเอสไอ ต้องเร่งทำงานให้เร็วขึ้น ให้ผู้เข้ามาโดยกระบวนการไม่ชอบด้วยกฎหมายหยุดปฏิบัติหน้าที่ หากมีคำสั่งของ ป.ป.ช.ผู้ถูกกล่าวหาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ภายใน 6 เดือนนี้จะมีการให้ความเห็นชอบองค์กรอิสระหลายแห่ง เช่น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. หากได้รับความเห็นชอบจาก สว.ที่มีที่มาไม่ชัดเจน จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศ“สุทิน” แนะมั่นใจบริสุทธิ์ให้รีบร่วมมือนายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณี กกต.ออกหมายเรียก สว.ให้ชี้แจงข้อกล่าวหาคดีฮั้ว สว.ว่า เป็นกระบวนการทำงานตามกระบวนการยุติธรรมตามระบบที่มีขั้นตอนการออกหมายเรียก สว. รวมถึงคนไทยทุกคนไม่ได้อยู่เหนือกฎหมายก็ควรให้ความร่วมมือ ถ้าสุจริตไม่มีอะไรน่าวิตกและยิ่งควรให้ความร่วมมือจะได้พิสูจน์ตัวเอง และขั้นตอนนี้ยังไม่ใช่ที่สิ้นสุดของกระบวนการ ทุกคนมีสิทธิชี้แจงข้อกล่าวหาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ก็ขอให้กำลังใจ กกต. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รวมถึง สว.ทุกคน ที่อยู่ภายใต้กระบวนการนี้ ประชาชนเฝ้าดูและรอฟังอยู่ว่าสุดท้ายผลสรุปจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่าคนที่ถูกออกหมายเรียกควรปฏิบัติตัวอย่างไร ควรหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า ต้องไปดูข้อกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ไม่แน่ใจ แต่โดยมารยาททางการเมืองคนเป็น สว.หรือระดับประธาน สว.คิดเองได้ไม่มีมูลคนกลั่นแกล้งจะเสียเองเมื่อถามว่าสังคมตั้งข้อสังเกตประเด็นนี้เป็นสงครามตัวแทนระหว่างค่ายแดงกับน้ำเงินหรือไม่ นายสุทินกล่าวว่า อาจมีประชาชนบางส่วนคิดอย่างนั้นได้ แต่ใครจะทำสงครามกับใครก็ตาม ถ้าไม่มีมูลความจริง ไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ได้ ไม่มีใครเปิดศึกกันได้ หรือเปิดไปก็จบไม่สวย เพราะถ้าคิดจะไปกลั่นแกล้งกันไม่ได้ผล คิดจะเปิดสงครามสร้างเรื่องกลั่นแกล้งไม่เป็นอย่างที่คิด ฝ่ายที่คิดไม่สุจริตจะเสียหายเอง เมื่อถามว่าประเด็นนี้จะกระทบการทำงานของรัฐบาลหรือไม่ นายสุทินตอบว่า ไม่กระทบ เพราะกระบวนการยุติธรรมทำไป คนมีหน้าที่ชี้แจงข้อกล่าวหาชี้แจงไป รัฐบาลทำงานไป ขณะที่ทุกคนต่อสู้เรื่องคดี ต้องทำงานยืนบนหลักการทำให้ประชาชนต่อไป ถ้ายืนบนหลักนี้ไม่กระทบ แต่ถ้าไม่ยืนบนหลักนี้จะออกฤทธิ์ออกเดชอะไรได้ไม่มาก สุดท้ายจะเป็นฝ่ายเสียหายเองจี้ กกต.เร่งคดีเรียกศรัทธารัฐสภานายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคพท. กล่าวว่า การออกหมายเรียก สว.ให้ชี้แจงข้อกล่าวหาคดีฮั้ว สว. มีผลสะเทือนต่อการทำงานของรัฐสภาแน่นอน รวมถึงกระทบกระเทือนต่อความศรัทธาและความเชื่อถือต่อวุฒิสภา เป็นเรื่องอันตรายมากถ้าไม่รีบแก้ไข จึงอยากให้กำลังใจทั้ง กกต.และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ทำงานนี้อย่างรวดเร็วและรอบคอบ ส่งให้ศาลวินิจฉัยว่าฮั้วหรือไม่ฮั้วอย่างไร เพื่อความศรัทธาในระบบรัฐสภา โดยเฉพาะวุฒิสภาต่อไป เมื่อถามว่าวุฒิสภาควรปฏิบัติอย่างไรเพราะได้ออกหมายเรียก สว.จำนวนหนึ่งไปแล้ว นายอดิศรกล่าวว่า ตามกระบวนการยังไม่มีอะไร แต่ทางการเมืองเสียหายเกือบ 100% ไปแล้ว เพียงแต่ความรับผิดชอบ ความมีจิตสำนึกของ สว.แต่ละคน และคงเรียกร้องให้ กกต. ดีเอสไอทำงานเรื่องนี้อย่างรวดเร็วและรอบคอบ อย่างไรก็ตามเรื่องการดำรงตำแหน่งยังไม่มีกระทบ แต่กระทบความศรัทธารุนแรงกว่า“โรม” ขยี้เรื่องเท็จ “ทักษิณ” ป่วยวิกฤติวันเดียวกัน นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า เห็นหลายคนออกมาโต้ว่า ไม่ต้องวิกฤติก็สามารถไปพักรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจได้ เพราะเป็นการป่วยเฉพาะทาง บลาๆ การออกมาโต้แบบนี้ ยิ่งย้ำว่า 1.ตลอดระยะเวลาที่คุณทักษิณรักษาตัว ที่ รพ.ตำรวจ ไม่ใช่วิกฤติจริงๆ การที่ราชทัณฑ์และรัฐมนตรียุติธรรมในเวลานั้นออกมาเล่นใหญ่ ทำราวกับว่าคุณทักษิณป่วยปางตาย เป็นเรื่องเท็จ ขณะเดียวกันบุตรสาวของคุณทักษิณ แม้ในเวลานั้นจะไม่ใช่นายกฯ แต่การได้เห็นหน่วยงานราชทัณฑ์ออกมาสาปแช่งคุณทักษิณว่า ป่วยหนักราวกับต้องกินข้าวผ่านธูป น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กลับเก็บงำเรื่องนี้ไว้ เพราะบิดาตนเองได้ประโยชน์จากการอยู่สุขสบายในห้อง VVIP ถ้าจะเถียงว่าไม่จำเป็นต้องวิกฤติก็สามารถไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจได้ ทำไมเพิ่งมาเถียงเอาตอนนี้ ตอนนั้นกลับปิดปากเงียบอัดใช้ดีลปีศาจสมคบหัวหน้าคณะ รปห.นายรังสิมันส์ระบุว่า 2.ถ้าป่วยไม่วิกฤติ ราชทัณฑ์เค้ามี รพ.ราชทัณฑ์ รวมไปถึงสถานพยาบาลของราชทัณฑ์อีกด้วย ไม่จำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ตำรวจ หรือถ้าจะอยู่ รพ.ตำรวจ ไม่จำเป็นต้องอยู่ยาวขนาดนี้ กระบวนการทั้งหมด มันคือการสมคบกันเพื่อละเมิดกฎหมายยกเว้นกฎเกณฑ์กติกาทั้งปวงเพียงเพราะไม่ต้องการได้ชื่อว่า ติดคุกแม้เพียงวันเดียว 3.แล้วคุณทักษิณอยู่สบายแค่ไหน ก็สบายเพียงพอที่จะให้ใครก็ตามไปเยี่ยมได้ หลักฐานเรื่องนี้ ไม่มีอะไรมาก มีคนที่เคยไปเจอคุณทักษิณออกมาเปิดโปงเรื่องนี้ให้ทราบโดยทั่วกันอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คุณทักษิณยังมีโทรศัพท์มือถือเอาไว้ดูโซเชียลมีเดียอีกด้วย เอาแค่ 3 ข้อนี้ มันก็ชัดยิ่งกว่าชัดว่า กรณีชั้น 14 เป็นเรื่องราวของการสมคบกันเพื่อกระทำความผิด โดยไม่สนใจว่าบ้านเมืองจะมีกฎหมายอย่างไร ผมทราบดีว่าตระกูลชินวัตรไม่ได้เลวบริสุทธิ์ เป็นปุถุชนที่มีความชั่วดีผสมกันไป แต่สำหรับเรื่องกรณีชั้น 14 ท่านใช้ดีลปีศาจ สมคบกับอดีตหัวหน้ารัฐประหาร เพื่อช่วยเหลือบิดาตนเอง ทำลายกระบวนการยุติธรรมจนย่อยยับป้องนายกฯวอนฝ่ายค้านลดอคติน.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรค พท. กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กพาดพิงถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เปรียบเทียบว่า เป็นเพียงตัวแทนของพ่อ ที่ทำอะไรไม่ได้เหมือนพ่อเลยว่า น.ส.แพทองธาร ในฐานะนายกฯมีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดิน และการเจรจาเรื่องการค้าเป็นหนึ่งในภารกิจหลักของรัฐบาล ในสถานการณ์ปัจจุบัน หากมีบุคคลใดที่มีศักยภาพสามารถให้คำปรึกษาหรือช่วยเหลือประเทศได้ การดึงเอาทุกกลไก รวบรวมทุกสรรพกำลังเพื่อช่วยกันถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีทั้งประสบการณ์และเครือข่ายในระดับโลก ก็ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศ ฝ่ายค้านควรเปิดใจ ลดอคติ เลิกมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ การเป็นฝ่ายค้านไม่ได้หมายความว่าต้องคัดค้านทุกเรื่อง ในสถานการณ์วิกฤติต้องคิดใช้ทุกศักยภาพให้เป็นประโยชน์ แต่ถ้าเอาแต่พูดเสียดสี บางทีสงบปากสงบคำไว้บ้างจะเป็นผลดีมากกว่า“วันชัย” ซัดใช้ชั้น 14 เพาะบ่มชิงชังวันเดียวกัน นายวันชัย สอนศิริ อดีต สว.โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “ต้องวิกฤติหรือไม่ จึงไปชั้น 14” ระบุว่า สังคมแห่งความชิงชังทำให้คนในสังคมป่วย สังคมที่ไร้ความเมตตาเป็นสังคมวิกฤติ เรื่องคุณทักษิณชั้น 14 วิพากษ์วิจารณ์กันมั่วซั่ว จับแพะชนแกะ จากกรณีแพทยสภาลงโทษแพทย์เรื่องผิดจริยธรรม แล้วมาโยงกับการป่วยของคุณทักษิณและอำนาจราชทัณฑ์ ทั้งที่ไม่เกี่ยวกันเลย เป็นคนละเรื่อง พอแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ก็ตีโพยตีพายคุณทักษิณไม่ได้ป่วยจริง ต้องกลับไปติดคุก ต้องหนี ต้องยุบสภา กล่าวหากันร้อยแปด ทั้งที่ข้อกฎหมายเรื่องอำนาจราชทัณฑ์ ไม่มีข้อใดเลยกำหนดว่า ต้องเป็นผู้ป่วยวิกฤติเท่านั้นจึงไปรักษาตัวข้างนอกได้ แต่กำหนดว่ากรณีต้องบำบัดรักษาเฉพาะด้านเฉพาะทางเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้มีผู้ต้องขังรายใด ป่วยถึงขั้นวิกฤติ หากเริ่มป่วยให้รักษาในเรือนจำ แต่หากต้องการรักษาเฉพาะทางที่ในเรือนจำรักษาไม่ได้ ให้ไปรักษาที่อื่น ไม่เกี่ยวจะต้องป่วยวิกฤติหรือไม่เหน็บใส่สีตีไข่จะเอากันให้ตาย“กรณีคุณทักษิณ ไม่ต้องดูว่าป่วยถึงขั้นวิกฤติ ดูเพียงว่าต้องการรักษาตัวเฉพาะด้านเฉพาะทางที่เรือนจำรักษาไม่ได้เพียงพอแล้ว แพทยสภาว่าเรื่องแพทย์ไป ราชทัณฑ์ว่าเรื่องราชทัณฑ์ ไม่เกี่ยวกัน ส่วนพวกสังคมแห่งความชิงชังใส่สีตีไข่ โยงกันไปมา ไม่ได้ดูข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย เอาอารมณ์ ความรู้สึกเป็นที่ตั้งสังคมแห่งความชิงชังนี้โคตรจะแปลก ข้าราชการผู้ใหญ่ที่เกษียณแล้วเยอะแยะมากมาย ยังเห็นมีคนมียศมีตำแหน่งรับใช้เต็มบ้านจนแก่จนตาย ไม่เห็นมีใครว่า แต่คุณทักษิณ อายุ 75 ปี ป่วยมารักษาตัวอยู่ชั้น 14 จะเอากันเป็นกันตายถึงขั้นวิกฤติ”“วิสุทธิ์” ถามประชามติทุก ก.ม.ไหวหรืออีกเรื่อง นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ประธาน สส.พรรค พท. ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย วันที่ 13 พ.ย.จะนำผลการชี้แจงร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เข้าที่ประชุมหรือไม่ว่า คงไม่ได้คุยกัน มีเวลาอีก 2 เดือนก่อนเปิดสมัยประชุม เป็นหน้าที่รัฐบาลชี้แจงช่วงนี้เน้นเรื่องงบฯ ปี 69 ก่อน เมื่อถามว่าทางออกความขัดแย้งควรทำประชามติหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า การทำประชามติยังไม่เคยเห็นรัฐมนตรีท่านไหนพูดเรื่องประชามติ ถ้ามีคนเรียกร้องว่าต้องทำประชามติทุกครั้ง แล้วเราจะออกกฎหมายได้หรือไม่ สส.คือตัวแทนประชามติมาจากประชาชน ต่อไปหากใครเสนอกฎหมายอะไร แล้วเรียกร้องให้ทำประชามติ รอบละ 3,000 ล้านบาทไหวหรือไม่ ถ้ารัฐธรรมนูญทำประชามติเห็นด้วย แต่เรื่องอื่นให้อธิบายความกันก่อน วันนี้ สส.พรรคลงพื้นที่ไปทำความเข้าใจกับประชาชนว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไรไม่ใช่วิ่งไปตามกระแสอย่างเดียว ต้องพูดในข้อเท็จจริงก่อนถึงเวลานั้นเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที ต้องเอางบฯให้ผ่านก่อนเรื่องใหญ่ไม่ใช่แค่ฝ่ายค้านมีหน้าที่ตัดงบฯเมื่อถามว่า งบฯปี 69 ที่จะเข้าสภาวันที่ 28-30 พ.ค.จะทันหรือไม่ นายวิสุทธิ์กล่าวว่าเราต้องดูว่าส่วนไหนควรจะสนับสนุนหรือควรช่วยกันตัดออกไป ไม่ใช่ฝ่ายค้านฝ่ายเดียวจะเป็นคนตัดงบฯ เราเป็นรัฐบาลเราต้องตัดด้วย เพราะ กมธ.งบฯของฝ่ายค้านและรัฐบาลมีสัดส่วนเท่ากัน หากดูอะไรไม่เกิดประโยชน์ ทำแล้วจะเกิดปัญหาใช้เงินมากมายแล้วไม่เกิดประโยชน์ เป็นหน้าที่ กมธ.ต้องทำหน้าที่ช่วยกันดูและช่วยกันตัด และในพรรค พท.ต้องช่วยกันพูด มาดูและศึกษาว่าอะไรที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ เราให้ความสำคัญเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่น“อนุทิน” เข้า รพ.ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตาวันเดียวกัน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายก รัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย โพสต์ภาพผ่านทางเฟซบุ๊ก “Anutin Charnvirakul” พร้อมโพสต์ข้อความว่า สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี องค์พระผู้เป็นเจ้าชีวิต ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ผู้แทนพระองค์อัญเชิญแจกันดอกไม้ และของขวัญที่ล้นเกล้าฯทั้งสองพระองค์พระราชทานมาเยี่ยมไข้ที่โรงพยาบาลในวันนี้ ทั้งนี้ นายอนุทินได้เข้าผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา ที่ รพ.ศิริราชปิยมหาราชการุณย์ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 8 พ.ค.กกต.ตั้งเป้าผู้ใช้สิทธิเลือก สท.70%เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานเทศบาลนคร หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ลงพื้นที่สังเกตการณ์ การรับมอบวัสดุอุปกรณ์ในเลือกตั้งให้แก่ คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง เตรียมพร้อมเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล (สท.) และนายกเทศมนตรี วันที่ 11 พ.ค.อย่างมีประสิทธิภาพที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ พ.ต.ท.ระพีพงษ์ จิรพัฒนาลักษณ์ รองเลขาธิการ กกต. แถลงว่า มีเทศบาลที่ประกาศให้มีการเลือกตั้ง 2,463 แห่ง นายกเทศมนตรี 2,128 คน มีผู้สมัครทั้งหมด 4,558 คน และ สท. 2,462 คน รวมส่วนนี้ ต้องเลือกให้ได้ 31,218 คน จากผู้สมัคร 60,515 คน หน่วยที่เลือกตั้งเฉพาะนายกเทศมนตรี เนื่องจาก สท.เลือกตั้งแล้วด้วยเหตุยุบสภา คือที่เทศบาลตำบลน้ำยืน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ขณะที่จัดเลือกตั้งเฉพาะ สท.อย่างเดียว 335 แห่ง กกต.ตั้งเป้าจะมีผู้มาใช้สิทธิกว่า 70% ครั้งที่แล้วอยู่ที่ 60%จับตาพิเศษหัวเมืองใหญ่แข่งดุพ.ต.ท.ระพีพงษ์กล่าวว่า มีรายงานเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 338 เรื่อง เป็นคำร้องเรียน 335 เรื่อง มีการร้องเรียนซื้อสิทธิขายเสียงอยู่ และความปรากฏอีก 3 พิจารณาเสร็จแล้ว 7 เรื่อง ที่เหลือยังอยู่ระหว่างพิจารณาของจังหวัด พื้นที่จับตาเป็นพิเศษคือพื้นที่การแข่งขันทางการเมืองสูง เทศบาลนครใหญ่ๆ เช่น เชียงใหม่ นครราชสีมา พัทยา ได้ตั้งด่านตรวจสอบตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 9 พ.ค.แล้ว และยังได้ให้ทุกหน่วยเตรียมความพร้อมสถานที่รองรับเหตุที่อาจจะทำให้ไม่สามารถจัดลงคะแนนเลือกตั้งได้ เพราะตอนนี้เข้าใจว่าหลายพื้นที่มีฝนตก พายุเข้า“ธนกร” จี้ กกต.ฟันซื้อเสียงหนักมากนายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า มีประชาชนในพื้นที่ให้ข้อมูลหลายพื้นที่แข่งขันกันดุเดือด ไม่เพียงปราศรัยหาเสียง ยังมีการให้เงินซื้อเสียงกันหนักมาก บางพื้นที่ 2-3 พันบาทต่อคน ถือว่าการเมืองไทยเข้าขั้นวิกฤติ หากปล่อยให้มีการซื้อเสียงแบบนี้ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ทั้งนี้ผู้มีหน้าที่ควบคุมใช้กฎหมายคือ กกต. ตั้งแต่ระดับจังหวัด ต้องเอาจริงเอาจังลงพื้นที่สอบเชิงรุก เพื่อให้ได้ข้อมูลและตรวจจับคนซื้อเสียงได้จริง หาก กกต.ทำงานเข้มข้นจะเรียกความเชื่อมั่นศรัทธาจากประชาชนกลับคืนมาได้ และขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาแจ้งเบาะแส ขอเรียกร้อง กกต.ผู้ถือดาบถือกฎหมาย ช่วยฟันปราบคนโกงอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่