ยิ่งคดีงวดเข้ามาทุกทีแต่ละฝ่ายต่างก็โชว์เพลงดาบให้เห็นว่ากูแน่กว่ามึงทำนองนั้นทั้งๆที่ก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายผลจะออกมาอย่างไร ล่าสุด ดีเอสไอส่งรายชื่อ 60 สว.ที่อยู่ในข่ายฮั้วเลือกตั้งให้ กกต.พิจารณาหลังจากสอบสวนแล้วพบว่ามีความผิดจริง

ก็อยู่ที่ กกต.จะพิจารณาเอาผิดอย่างไร เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามกฎหมาย

ดีเอสไอนั้นรับงานมาจาก กกต.ที่ให้มาช่วยสอบสวน เนื่องจาก มีความเชี่ยวชาญมากกว่า

แต่ไม่มีอำนาจเอาผิดได้

ประเด็นที่ถกเถียงและนำมาต่อสู้กันนั้น โดยดีเอสไออ้างว่าสามารถสอบสวนได้เพราะได้รับมอบอำนาจจาก กกต.

แต่ สว.เห็นว่าไม่มีอำนาจ!

ก็เถียงกันตรงประเด็นนี้มาหลายยก สุดท้ายก็ต้องยอมรับในกติกา

เหตุที่คดีนี้ล่าช้าก็โทษว่า กกต.ไม่เอาจริง เพราะมีได้มีเสีย กับ “ลูกพี่” ของ สว. (สีนํ้าเงิน) กลุ่มนี้เท็จจริงอย่างไรก็ดูกันเองแล้วกัน

ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วที่เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาก็เพราะปัญหาการเมืองเป็นหลัก เนื่องจากแต่ละฝ่ายต่างก็มีพรรคการเมืองหนุนหลัง

สว.กว่า 100 คนก็มีพรรคสีนํ้าเงินให้ท้าย หรือจะเรียก “ลูกพี่ใหญ่” ที่ทำงานให้ทุกอย่างก็ว่าได้

อีกฝ่ายก็มีพรรคการเมืองใหญ่ในรัฐบาลสนับสนุนคือ

“เพื่อไทย” อยู่เบื้องหลัง โดยให้พรรคประชาชาติ  “ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรียุติธรรม ซึ่งคุมดีเอสไอเป็นตัวขับเคลื่อน

“ภูมิธรรม  เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งรับผิดชอบกระทรวงยุติธรรมด้วย จึงประสานงานกับ “ทวี สอดส่อง” ไล่หวดจนคดีตกถึงมือดีเอสไอ

“อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ปฏิเสธทุกครั้งว่า

...

เขาไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย...

แต่อีกด้านหนึ่งก็ดันข้างหลังกระทรวงมหาดไทยที่รับผิดชอบอยู่ออกมาเดินเกมตอบโต้และสกัดความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย

อย่างเหตุที่จังหวัดอำนาจเจริญ

เหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนโดยทั่วไปต่างก็ทราบกันดีว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ไม่รู้หรืออย่างที่นักการเมืองคิดว่า “โง่”

เพียงแต่รอดูว่าผลสุดท้ายจะลงเอยอย่างไรเท่านั้น

แต่ที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือนักการเมืองนั้นใช้หน่วยงานของรัฐที่ตัวเองรับผิดชอบเป็นเครื่องมือที่จะสนองความต้องการในทุกรูปแบบ

อย่างดีเอสไอก็มีรัฐมนตรียุติธรรมเป็นผู้สั่งการ

อย่างมหาดไทยก็มีรัฐมนตรีมหาดไทยอยู่เบื้องหลัง

สุดท้ายกลายเป็นว่านักการเมืองได้ใช้หน่วยงานราชการเป็นกลไกที่จะผลักดันนโยบายและสิ่งที่ต้องการได้อย่างชอบธรรม

แต่ข้าราชการเมื่องานเลิก ใครถือหางผู้ชนะก็ดีไป

แต่ถ้าถือหางผิดข้างก็ซวยไป

ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น!

มันเป็นอย่างนี้มานานแล้วและเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขได้ เพราะนักการเมืองก็ไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ของชาติ

แต่คิดถึงประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง

“ข้าราชการ” ก็ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นหากไม่สุจริตจริงก็ต้องเลือกข้างและยอมทำตาม “นาย” สั่งเพื่อเอาตัวรอดและยืนอยู่ในวงการได้

สุดท้ายกลายเป็นพวกใครพวกมันทั้งนั้น!


“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม